ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
18 เมษายน 2559 เวลา 07:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/427059

โดย…ชนิกา สุขสมจิตร
กว่า 8 เดือนแล้วกับการทำหน้าที่ รมว.พลังงาน ของ “บิ๊กโย่ง” พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ท่ามกลางประเด็นร้อนๆ ต้องผลักดันไปสู่เป้าหมาย “โพสต์ทูเดย์” มีโอกาสสัมภาษณ์ พล.อ.อนันตพร ถึงการทำงานที่ผ่านมาและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
พล.อ.อนันตพร เกริ่นนำว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานมีหน้าที่นำนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยที่ผ่านมาได้ยึดหลัก 3 ด้าน คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในการขับเคลื่อนผ่านแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว พ.ศ. 2558-2579 ประกอบไปด้วย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) แผนอนุรักษ์พลังงาน แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง
“ความมั่นคงด้านพลังงาน คือ การมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอสำหรับประชาชน ภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และท่องเที่ยว ส่วนความมั่งคั่ง คือ การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน การดูแลราคาพลังงาน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และค่าไฟฟ้า ให้เป็นธรรมต่อผู้ใช้และผู้ผลิต ในขณะที่ความยั่งยืน หมายถึงการส่งเสริมพลังงานทดแทน และใช้พลังงานที่มีการปล่อยมลพิษในระดับเหมาะสม รวมทั้งการรักษาสมดุลระหว่างการมีไฟฟ้าใช้กับสิ่งแวดล้อม” พล.อ.อนันตพร กล่าว
พล.อ.อนันตพร บอกว่า ปัจจุบันกระทรวงพลังงานไม่ได้มีอำนาจเหมือนตอนตั้งขึ้นมาใหม่ๆ เพราะได้แยกการบริหารออกเป็น 2 ส่วน คือ ด้านการจัดวางนโยบาย กระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ดูแล และด้านการกำกับดูแลจะมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระเข้ามารับผิดชอบ ดังนั้น กระทรวงจึงมีหน้าที่เพียงการติดตามงานของเรกูเลเตอร์ ซึ่งมีทั้งสอบถามและให้ความเห็น แต่ไม่เคยเข้าไปแทรกแซง
“การทำงานของผมไม่ได้ชี้โน่นชี้นี่อะไรได้ ต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล มีเรกูเลเตอร์ดูแล มีหลายคนชอบต่อว่า รมว.พลังงาน ใช้ดุลพินิจ ใช้อำนาจ ผมมาอยู่ที่นี่ไม่เคยใช้อำนาจ มีแต่ประชุมเสร็จก็เอามาให้ผมเซ็นประกาศ เว้นแต่บางเรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยก็ให้ไปแก้แล้วนำกลับมาเสนอใหม่ ซึ่งผมมีเหตุผลที่ทักท้วงเพื่อให้เกิดความรอบคอบ แต่ถ้าเขายังยืนยันก็ต้องมาว่ากันด้วยเหตุด้วยผล มาคุยกัน” พล.อ.อนันตพร กล่าว
เมื่อถามว่าการทำงานที่ผ่านมา 8 เดือน มีความหนักใจและยังเป็นข้อกังวลอยู่ พล.อ.อนันตพร ตอบว่า มีอยู่สองเรื่อง คือ กฎหมายปิโตรเลียม และการสร้างโรงไฟฟ้าตามแผนพีดีพี โดยเฉพาะในประเด็นการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะทั้งสองเรื่องยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
“ผมชอบทำงานตามแผนที่วางไว้ ช้านิดหน่อยไม่เป็นไร เหมือนมีเคพีไอเป็นของตัวเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าความล่าช้าของนโยบายพลังงานบางครั้งก็มาจากปัจจัยภายนอก”
พล.อ.อนันตพร อธิบายว่า ในเรื่องการร่างกฎหมายปิโตรเลียมและการบริหารสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุก็ถือว่าเดินตามกรอบที่วางไว้ โดยร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ขณะนี้ใกล้จบรอเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. สาระสำคัญได้เพิ่มแนวทางการบริหารแหล่งปิโตรเลียมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบสัมปทาน ระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) และระบบจ้างผลิต ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายไว้ใจการทำกฎหมาย เพราะที่ผ่านมาก็คุยกันมาแล้วหลายรอบ โดยคาดว่าร่างกฎหมายจะเข้า สนช.ได้ประมาณเดือน มิ.ย.นี้
“หากทุกอย่างจบหมดแล้ว ก็สามารถประกาศเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 21 ได้ และมั่นใจว่าจะประกาศได้ภายในปีนี้แน่นอน ส่วนจะมีผู้สนใจมากน้อยแค่ไหนนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้แนวทางใด และจะมีแปลงไหนให้สำรวจบ้าง”
ขณะที่ประเด็นการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งอยู่ในแผนพีดีพีนั้น พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า ได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ดำเนินการ กำหนดจะสร้าง 2 แห่งแรก คือ โรงไฟฟ้ากระบี่ และโรงไฟฟ้าเทพาจ.สงขลา แม้ว่าจะยังมีกระแสการต่อต้านอยู่ แต่ก็ต้องเดินหน้าตามแผนพีดีพีที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน อยากให้มองในภาพรวมเชิงตัวเลข เพราะโรงไฟฟ้าทั่วโลกมีทั้งถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ในขณะที่ประเทศที่เจริญแล้วก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
“ถ้าถามผมว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินดีมั้ย หากเป็นสมัยก่อนไม่ดี แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น ทั้งจากญี่ปุ่น หรือเยอรมัน ผมไม่ได้บอกดีหรือไม่ดี แต่ต้องเข้าใจว่า ค่าไฟฟ้าไทยเฉลี่ย 3 บาท/หน่วย ถ้าไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ไปสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ โซลาร์เซลล์ พลังงานลม ก็ได้ แต่หลักการบริหารเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าต้องเฉลี่ยความเสี่ยงให้มีความหลากหลายของเชื้อเพลิง จริงๆ แล้วอยากให้มีโรงไฟฟ้าทุกภาคเพื่อใช้ให้เพียงพอ อย่างภาคใต้ ปัจจุบันต้องดึงไฟฟ้าภาคกลางลงไปเสริม 600-700 เมกะวัตต์ ถ้าไม่ให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ แล้วจะให้สร้างที่ไหนบอกมาเลย ไปตกลงกันทั้งภาคบอกมาเลย และที่ต้องสร้างที่กระบี่เพราะมีโรงไฟฟ้าเก่า ลงทุนไม่มาก และใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ส่วนจะถึงขั้นใช้มาตรา44 เข้าไปกำกับหรือไม่นั้น คงไม่ถึงขั้นนั้น แค่ใช้ความจริงใจ ใช้ความบริสุทธิ์ใจ การอธิบาย ถ้าคนในพื้นที่เข้าใจก็จบแล้ว” พล.อ.อนันตพร ย้ำ
ชงบรรจุหลักสูตรพื้นฐาน ‘ปฏิรูปพลังงาน’
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการปฏิรูปพลังงานยังคงเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาการปฏิรูปพลังงานในประเด็นต่างๆ ก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เริ่มมาตั้งแต่เมื่อมีเรกูเลเตอร์ การแก้กฎหมายพลังงาน การปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรม และที่ผ่านมาได้มีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้เกิดความเป็นธรรมไปแล้ว ทั้งปรับอัตราภาษีสรรพสามิต ปรับอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการปรับลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ตลอดจนการเปิดเสรีนำเข้าก๊าซ ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในยุทธศาสตร์พลังงานที่กำหนดไว้
พล.อ.อนันตพร เสนอว่า การปฏิรูปพลังงานนั้นในหลักการควรเริ่มที่ภาคการศึกษา ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการต้องบรรจุอยู่ในหลักสูตรพื้นฐานการเรียนเพื่อให้มีความเข้าใจ ทั้งไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซ มีปริมาณในประเทศเท่าไหร่ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทราบ แต่บางครั้งโลกการส่งข้อความผ่านสื่อออนไลน์ โลกโซเชียลก็ทำให้เกิดความเชื่อที่ผิดๆ ได้ เช่น หลายครั้งมีการรายงานว่าประเทศไทยมีน้ำมันเยอะ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง แต่เมื่อมีการใส่ข้อมูลหลายครั้งก็ทำให้หลงเชื่อได้
ขณะที่การปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงนั้น พล.อ.อนันตพร บอกว่า แผนพีดีพีกำหนดเป้าหมายที่จะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มเป็น 22% ในอีก 20 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 18% ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียที่มีสัดส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินเฉลี่ย 70% และแม้ว่าอีก 10-15 ปีข้างหน้า ประเทศเหล่านั้นจะมีแผนลดสัดส่วนของโรงไฟฟ้าถ่านหินลงแต่ก็ยังสูงกว่า 50% ขณะเดียวกันไทยจะลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติลง และเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน