ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
07 เมษายน 2559 เวลา 10:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/425501

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
เวลานี้อาจเรียกได้ว่าการเมืองของประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ คือ การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลคาดการณ์จะสามารถให้ประชาชนใช้สิทธิออกเสียงได้ในวันที่ 7 ส.ค.
ทว่า กว่าประเทศไทยจะไปถึงการทำประชามติ ย่อมต้องเจอกับแรงเสียดทานต่างๆ มากมาย ระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ แม้ว่าการต่อสู้ดังกล่าวอาจจะไม่เกิดความรุนแรงเหมือนกับการเลือกตั้ง สส. ที่ต้องล้มไปก่อนหน้านี้ แต่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่การปะทะกันของสองฝ่ายบนบริบทของร่างรัฐธรรมนูญอาจเป็นตัวจุดชนวนทางการเมืองต่อไป
ทั้งนี้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ให้มุมมองต่อสถานการณ์ในอนาคตว่าการทำประชามติไม่น่าจะเกิดปัญหา และคิดว่าทุกฝ่ายน่าจะให้การยอมรับ เพราะกฎหมายประชามติฉบับใหม่ได้เปิดโอกาสให้กับทุกฝ่ายสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเป็นอิสระ เพียงแต่ต้องเป็นไปโดยสุจริตเท่านั้น
“กฎหมายประชามติฉบับนี้ต้องการให้การแสดงความคิดเห็นเป็นไปอย่างรอบด้าน ทุกๆ ด้าน ขอย้ำว่าไม่มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นแต่ต้องอยู่ภายใต้กติกา ผู้ที่แสดงความคิดเห็น จะเป็นนักวิชาการหรือคนอื่นๆ ก็ต้องแสดงความคิดเห็นโดยอิสระและโดยสุจริต ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ต้องไม่มีการใช้ถ้อยคำรุนแรง ไม่มีการบิดเบือนหรือไปสร้างความขัดแย้ง ปลุกระดม สิ่งสำคัญ คือ ต้องไม่มีการไปชี้นำทางหนึ่งทางใด”
หากมีการแสดงความคิดเห็นโดยบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยถือว่ามีความผิดหรือไม่? พล.อ.สมเจตน์ ตอบว่า “ถ้าคุณบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย คุณต้องชี้ลงมาว่ามาตราไหนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่มาพูดภาพรวมว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดีไม่ต้องไปรับ ถ้าทำแบบนี้มันก็สุ่มเสี่ยง”
การให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สามารถไปเผยแพร่เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญได้ จะถือว่าเป็นการชี้นำทางอ้อมหรือไม่? พล.อ.สมเจตน์ ระบุว่า “อ้าว อีกฝ่ายก็ไปชี้ขอเสียสิ คุณบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดีอย่างไร คุณก็ไปชี้ข้อเสียสิ คุณก็บอกไปว่ามันไม่ดีอย่างไร ทั้งหมดก็เพื่อให้ประชาชนได้ฟังทั้งสองฝ่ายแล้วก็มาใช้ดุลพินิจเองว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ สมมติใครไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญก็สามารถไปออกโทรทัศน์ชี้แจงได้ แต่อย่าบิดเบือน ถ้าคุณไปชี้แจงโดยมีลักษณะเป็นการปลุกระดม เช่น โหวตโน ก็เข้าข่ายปลุกระดมผิดกฎหมาย ถ้าคุณจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องของคุณคนเดียวไปสิ”
ขณะเดียวกัน พล.อ.สมเจตน์ ประเมินพลังของฝ่ายการเมืองที่จะมีผลต่อการลงคะแนนประชามติร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนว่า “อันนี้ก็ต้องไปคิดเอาเอง คือ เราไม่สามารถจะไปทำอะไร แน่นอนว่าถ้าพรรคการเมืองมีเจตนาดีเขาก็คงไม่สนับสนุนให้สมาชิกพรรคของเขาไปทำอย่างนั้น ถ้าพรรคการ เมืองมีเจตนาดีก็ควรห้ามปรามสมาชิกพรรคของเขาที่ทำไม่ดี หากไม่ห้ามปรามมันก็เหมือนรู้เห็นเป็นใจ อันนี้เป็นหน้าที่ของสังคมที่ต้องไปพิจารณาดูว่าพรรคการเมืองที่ทำแบบนี้มีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมืองหรือไม่”
“ผมว่าธรรมชาติของพรรคการเมืองเขาก็อยากเลือกตั้งนะ เพราะการเลือกตั้งเป็นการทำให้เขากลับมาสู่อำนาจทางการเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่มีการเลือกตั้งมันก็จะยืดยาวออกไป แต่ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ อำนาจมันก็เปลี่ยน มันก็กลับไปสู่ฝ่าย สส. ยิ่งช้าไปโอกาสที่จะกลับมาสู่การบริหารประเทศมันก็จะยืดยาวออกไป ดังนั้น หากโดยเจตนาทั่วไป ถ้าเขาไม่มีอะไร ผมว่าเขาก็คงไม่ได้ต่อต้านอะไรมากมาย ยกเว้นต้องการทำให้เป็นประเด็นทางการเมืองหรือสร้างกระแส เพื่อไม่ให้ตกกระแส ส่วนเขาจะมาเห็นดีเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็คงต่อสู้ให้ถึงที่สุด” พล.อ.สมเจตน์ ระบุ
สุดท้าย พล.อ.สมเจตน์ เชื่อว่า การตัดสินใจของประชาชนที่ลงคะแนนประชามติจะขึ้นอยู่กับการชี้แจง และทำความเข้าใจของฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างไร โดยผลงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนวันลงประชามติ จะไม่เป็นปัจจัยในการตัดสินใจของประชาชนที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญ
“ขึ้นอยู่กับการชี้แจง แต่ผมคิดว่ากฎหมายทุกฉบับมีทั้งดีและไม่ดี ไม่มีอะไรที่ดี 100% ไม่มีอะไรที่เสียไป 100% แต่ถ้ามันดีมากกว่าเสียมันก็ค่อยๆ ประคับประคองไป แต่ท้ายที่สุดมันไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ อยู่ที่นักการเมือง คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง กฎหมายเป็นเพียงกรอบอันหนึ่งที่ให้คุณปฏิบัติเท่านั้น หากคุณไม่มีจริยธรรมคุณก็จะใช้กฎหมายในทางลบ”
“การทำงานของรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้เกี่ยวกับข้องกับร่างรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ไม่เกี่ยวกับ คสช. เพราะ คสช. ไม่ได้เป็นเจ้าของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คนที่รับผิดชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 21 คน เพราะไปดูได้ชัดเจนว่าเวลาที่ คสช. ขออะไรไป 3 ข้อ ก็ได้ข้อเดียว ดังนั้น อำนาจสิทธิขาดทั้งหมดอยู่กับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ”
“ดังนั้นการที่อีกฝ่ายพยายามโจมตีว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่าน คสช.ต้องรับผิดชอบ ถือเป็นการสร้างประเด็นขึ้นมา ทำไมเวลาที่ใครทำร้ายบ้านเมืองร้ายแรงมากกว่าก่อนหน้านี้ถึงไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบบ้าง กลับปล่อยให้ชาวบ้านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปติดคุก เวลาคนอื่นทำ บอกว่าต้องรับผิดชอบ ทำไมถึงคราวของตัวเอง ไม่เห็นแสดงความรับผิดชอบอะไร” พล.อ.สมเจตน์ ทิ้งท้าย