ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
28 เมษายน 2559 เวลา 11:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/429019

โดย…วราภรณ์ เทียนเงิน
คําว่า “นวัตกรรม” กำลังมีบทบาทและมีความสำคัญกับประเทศไทยมากขึ้นต่อจากนี้ไป เพราะเป็นทั้งทางออก และทางสำเร็จของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ภายใต้การดำเนินนโยบายของ “พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ปรับบทบาทมาเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ อีกหนึ่งหน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนประเทศ
พิเชฐ กล่าวว่า ย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ตัดสินใจเข้ามารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในช่วงปี 2557 เป็นการตัดสินใจที่ไม่ยาก เพราะหากมีอะไรให้ช่วยประเทศ ก็พร้อมจะช่วยอย่างเต็มที่ อีกทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมาได้ทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเวลาหลายปี มีเพื่อนในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างมากมาย แม้รู้ดีว่าการมารับตำแหน่งในกระทรวงเป็นงานยากพอสมควร
“การมารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเป็นพระเอกขี่ม้าขาว แต่หมายถึงผมสามารถประสานเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนได้ เชื่อมโยงประชาชน เชื่อมโยงกระทรวงต่างๆ เชื่อมโยงกับพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันต่อไปได้ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมที่มีจุดอ่อน เพื่อเปลี่ยนประเทศให้ดีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งมีเป้าหมายทำให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้
“ช่วง 18-19 เดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อมโยงการทำงานกับทุกส่วนได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการทำงานร่วมกับทุกกระทรวงได้ทั้งหมด ลดความซ้ำซ้อนของนโยบายและโครงการ สามารถต่อยอดความร่วมมือใหม่ๆ กับหน่วยงานรัฐ ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนดีขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความตื่นตัวที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม ทำให้ภาคเอกชนมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนธุรกิจอย่างชัดเจน
“โครงการหลักๆ ที่ได้ขับเคลื่อนภายใต้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง มีทั้งโครงการ Talent Mobility หรือโครงการจับคู่นักวิจัยเพื่อภาคเอกชนไทย เพื่อกระตุ้นนักวิจัยไปทำงานกับภาคเอกชน และเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากภาคเอกชนและนักวิจัยในระดับสูง จากที่ผ่านมานักวิจัยจะต้องทำงานในหน่วยงานรัฐเป็นหลัก มาตรการยกเว้นภาษี 300% สำหรับค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมให้เอกชนไทยลงทุนวิจัยและพัฒนา
“รวมทั้งได้เริ่มทำโครงการสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการจัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ 2016 ที่มีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 28 เม.ย.-1 พ.ค. 2559 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมเชิญเอกชนชื่อดังในวงการสตาร์ทอัพระดับโลก อาทิ นายเดฟ แมคเคลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง 500 สตาร์ทอัพ ที่เป็นกองทุนระดับโลก มีการเชิญผู้ร่วมลงทุน กองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์ แคปปิตอล) มาในงาน
“ขณะนี้มีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพสนใจเข้าร่วมงานกว่า 1,000 ราย เชื่อมั่นว่าจะส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดโลกและสร้างความสนใจให้แก่นักลงทุนทั่วโลก ถือว่าในปีนี้เป็นปีของสตาร์ทอัพไทยอย่างแท้จริง และจะเกิดการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพไทย รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มทำสตาร์ทอัพ”

พิเชฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงชุมชนและประชาชน เช่น โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำในชุมชน ที่มีชุมชนต้นแบบ 600 แห่ง ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร่วมนำมาใช้เป็นหลักการพัฒนาชุมชนต่างๆ ส่งผลให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ความสนใจประเทศไทย และใช้ไทยเป็นต้นแบบของประเทศกำลังพัฒนาที่มีการบริหารจัดการน้ำในชุมชน
รวมทั้งยังมีการนำดาวเทียมในหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มาช่วยการแก้ปัญหาน้ำและการเพาะปลูก ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงปัญหาหมอกควันในประเทศไทย และทำโมเดลแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่ป่าและการปลูกป่า ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพของประชาชนในหลายด้าน
ตลอดจนทำโครงการร่วมยกระดับสินค้าวิสาหกิจชุมชน และสินค้าโอท็อป การทำโครงการกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการต่างๆ ของหน่วยงานในกระทรวงทั้งหมด อาทิ การทำโครงการคูปองวิทย์เพื่อโอทอป และคูปองนวัตกรรมให้แก่เอสเอ็มอี ภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน หรือประชารัฐ
พิเชฐ กล่าวว่า ตลอด 18-19 เดือน ได้ทำงานต่อเนื่องและทำงานทุกวัน บางครั้งอาจจะไม่มีวันหยุด เพื่อต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย แต่หากถามถึงปัญหาในการทำงาน อาจจะเป็นเรื่องที่จะต้องมีการบูรณาการทำงานร่วมกันกับทุกหน่วยงานประชาชน จึงต้องมีการบูรณาการด้านต่างๆ ทำให้เกิดพลังประสานและขับเคลื่อนร่วมกันต่อไป
ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขลงทุนของภาคเอกชนต่อการลงทุน อาร์แอนด์ดี ที่มีสูงขึ้น ภาคเอกชน เอสเอ็มอี ตื่นตัวในการสร้างนวัตกรรม เพราะเอกชนรู้ดีว่าการแข่งขันในปัจจุบันที่มีความรุนแรงมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องปรับตัว และคำตอบคือ การนำนวัตกรรมไปใช้ เพื่อสร้างสินค้าที่มีความแตกต่าง
ล่าสุดตัวเลขการลงทุนวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) ในช่วงที่ผ่านมา มีจำนวนเงินลงทุนรวม 6.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.48% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ (จีดีพี) โดยแบ่งสัดส่วนในการลงทุนเป็นภาคเอกชน 54% ภาครัฐ 46% โดยการลงทุนวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน คิดเป็นจำนวนเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท จากจำนวนผู้ประกอบการกว่า 5,500 ราย ถือว่าลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 29% เมื่อนับจากปี 2556
ยกตัวอย่าง แบรนด์ซัมซุง ที่กำลังหันมุ่งมาลงทุนในอุตสาหกรรมยา เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต และเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมและใช้งบประมาณในระดับสูง จึงอยากให้เอกชนไทยมีความตื่นตัวที่จะลงทุนมากขึ้นในปี 2559 ซึ่งภาครัฐก็มีมาตรการจำนวนมากที่ออกมา ที่ส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐด้านอาร์แอนด์ดี รวมถึงกระทรวงการคลัง ที่จะมีมาตรการทางภาษีมาดึงดูดการลงทุนด้านอาร์แอนด์ดีเพิ่มขึ้น อีกทั้งเอกชนต้องปรับมุมมองการคิดใหม่สู่นอกกรอบ ที่สำคัญอย่ารอแต่ความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว
รวมไปถึงการทำโครงการให้ทุนการศึกษา เพื่อคนรุ่นใหม่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยในแต่ละปีจะมีการให้ทุนแก่นักเรียนประมาณ 100-200 คน พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม (STEM) เพื่อสร้างบุคลากรด้านสะเต็มให้มากที่สุด เพราะเป็นสาขาที่จะมีความสำคัญกับประเทศไทยในอนาคต
นโยบายและโครงการต่างกำลังสร้างให้ประเทศมีรูปแบบ (แพลตฟอร์ม) สำหรับการพัฒนาประเทศ ที่จะนำไปใช้ได้อย่างต่อเนื่องในทุกปี มองอนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยจะไปในทิศทางที่คู่ขนาน ทั้งเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวดี ผลักดันโดยนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงประชาชนในประเทศมีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น และต่อเนื่องไปจนถึงภาคการเกษตร ที่สามารถนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นวัตกรรม ไปใช้ รวมถึงการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้กับเศรษฐกิจไทยได้เช่นเดียวกัน
“ประเทศไม่ได้มีเพียงภาคอุตสาหกรรม แต่มีภาคการเกษตร ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเติบโตมาได้ แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่มีภาคการเกษตรที่สามารถเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ ในประเทศ ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงวิกฤต รวมถึงเศรษฐกิจพอเพียงยังสามารถนำไปใช้กับทุกด้านของชีวิต ทั้งครอบครัว ชุมชน การเกษตร” พิเชฐ กล่าว
พิเชฐ ย้ำว่า ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาปรับใช้กับทุกประเทศในโลกใบนี้ได้ เพราะในอีก 30-50 ปีข้างหน้า ประชากรในโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงระดับกว่า 9,000 ล้านคน จากปัจจุบันมีจำนวนประชากรรวมกว่า 7,000 ล้านคน ถือเป็นเรื่องใหญ่มากที่ประชากรในโลกใบนี้จะอยู่รอดได้อย่างไร คำตอบสุดท้ายในเรื่องนี้คือ “เศรษฐกิจพอเพียง”
“ขอยกย่องว่า เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นต้นแบบของโลกในศตวรรษนี้ หรือในรอบ 100 ปี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการทำงานของผมในทุกวันนี้”

เร่งสร้างคนรุ่นใหม่
“ผมเป็นลูกคนที่เก้า และเป็นลูกคนสุดท้ายของครอบครัวดุรงคเวโรจน์” พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก โดยเลือกเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เพราะเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ก่อนที่จะไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ต่อมาระดับปริญญาโท วิทยาการพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ Trinity University, Texas ประเทศสหรัฐ ปริญญาโท นโยบายและการจัดการสาธารณะ จาก Wharton School, University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐ และปริญญาเอก นโยบายและการจัดการสาธารณะ จาก Wharton School, University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐ เช่นเดียวกัน
“การเลือกเรียนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ความสำคัญของพลังงานแสงอาทิตย์จึงมีมาก แต่ความสำคัญในการบริหารจัดการโซลาร์เซลล์ก็สำคัญมากเช่นกัน ผมก็สนใจเกี่ยวกับการวางนโยบาย จึงเรียนในด้านที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอก
“การเรียนต่อต่างประเทศ ผมได้รับทุนการศึกษามาตลอด แต่ไม่ใช่ทุนการศึกษาของรัฐ แต่เมื่อเรียนจบก็ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย เพราะประเทศไทยคือบ้าน และสิ่งสำคัญอยากทำงานให้กับประเทศไทย จึงเลือกทำงานหน่วยงานภาครัฐมาตลอดชีวิตกว่า 20 ปี จนกระทั่งมารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
“ดังนั้น สิ่งสำคัญอีกด้านที่ผมทำระหว่างการรับตำแหน่งรัฐมนตรีคือ การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ สนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ และการจูงใจให้นักเรียนทุนการศึกษาของรัฐบาล หรือนักเรียนทุนส่วนตัวที่ศึกษาต่อต่างประเทศได้กลับมาทำงานในประเทศ โดยระหว่างที่ผมเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ร่วมโรดโชว์พร้อมกับคณะรัฐบาล ผมจะมีเวลาได้พบกับนักเรียนไทยที่อยู่ในต่างประเทศเสมอ
“ล่าสุดผมได้เดินทางไปพร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้เดินทางไปประเทศสหรัฐ ผมได้มีโอกาสไปพบกับนักเรียนไทยในเขตกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐ โดยมีจำนวนนักศึกษาไทยที่เข้าร่วมทั้งหมด 29 คน เป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนจากรัฐบาลไทยจำนวน 20 คน และนักศึกษาทุนส่วนตัว 9 คน ผมได้อัพเดทข้อมูลนโยบายใหม่ๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สตาร์ทอัพ และการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต (10 S Curve)
“ผมจะบอกและสร้างแรงจูงใจให้แก่ทุกคนว่า ทุกคนเป็นทรัพยากรของประเทศ เป็นความหวังของประเทศไทย จึงเชิญชวนให้ทุกคนกลับมาประเทศไทยเพื่อพัฒนาและสร้างประเทศไทย เชื่อว่าในประเทศไทยมีอะไรให้ทำอีกมากมาย หากนักเรียนทุนต้องการหรือเสนอแนะด้านใด ผมก็รับฟังและพร้อมหาทางส่งเสริม ผมเชื่อว่าทุกคนอยากกลับบ้าน อยากกลับมาทำงานในประเทศไทยอย่างแน่นอน คนรุ่นใหม่มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมาก และผมก็สอนลูกมาตลอดให้มีจิตอาสา ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากที่สุด
“ผมยังได้ย้ำว่านักศึกษาไทยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลไทย หรือเป็นนักศึกษาทุนส่วนตัว ล้วนเป็นบุคลากรที่สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอนาคตของประเทศไทยไม่ว่าจะในทิศทางใดนั้น ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของทุกคน” พิเชฐ กล่าว
อีกสิ่งสำคัญคือกำลังคนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีบุคลากรนักเรียนทุนจำนวน 4,500 คน ซึ่งมีจำนวนที่กลับมาทำงานในประเทศไทยแล้ว 2,700 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการศึกษาต่อในต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เตรียมทำโครงการนำนักเรียนทุนทั้งหมดของกระทรวงจำนวน 2,700 คน ที่กลับมาทำงานในประเทศไทยแล้ว มาเชื่อมโยงกับภาคเอกชนไทย เพื่อจับคู่ความต้องการของภาคเอกชน และพัฒนาให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่กำลังพัฒนา 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (10 S Curve)
ขณะนี้ได้มีการสำรวจนักเรียนทุนในแต่ละสาขาว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อนำมาจับคู่กับภาคเอกชน และร่วมมือกันพัฒนา สร้างนวัตกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคธุรกิจและภาคเอสเอ็มอีมากที่สุด
“ประเทศไทยมีกองทัพของนักรบสะเต็มหรือนักเรียนทุนที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งสามารถส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ให้เกิดการสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมภาคธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้ด้วย” พิเชฐ กล่าว
“หากถามว่า ถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ผมจะทำงานอะไร ยังบอกไม่ได้ … แต่ขณะนี้ผมอยากทำงานในตำแหน่งให้ดีที่สุด เพื่อสร้างประเทศไทยสู่ประเทศโฉมใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นวัตกรรม เอกชนไทยเปลี่ยนจากการผลิตแบบเดิม ไปสู่การผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง หรือพัฒนาแล้วให้ได้
“ผมเชื่อว่าอนาคต ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน” พิเชฐ กล่าวทิ้งท้าย
โดย…วราภรณ์ เทียนเงิน
คําว่า “นวัตกรรม” กำลังมีบทบาทและมีความสำคัญกับประเทศไทยมากขึ้นต่อจากนี้ไป เพราะเป็นทั้งทางออก และทางสำเร็จของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ภายใต้การดำเนินนโยบายของ “พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ปรับบทบาทมาเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ อีกหนึ่งหน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนประเทศ
พิเชฐ กล่าวว่า ย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ตัดสินใจเข้ามารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในช่วงปี 2557 เป็นการตัดสินใจที่ไม่ยาก เพราะหากมีอะไรให้ช่วยประเทศ ก็พร้อมจะช่วยอย่างเต็มที่ อีกทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมาได้ทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเวลาหลายปี มีเพื่อนในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างมากมาย แม้รู้ดีว่าการมารับตำแหน่งในกระทรวงเป็นงานยากพอสมควร
“การมารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเป็นพระเอกขี่ม้าขาว แต่หมายถึงผมสามารถประสานเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนได้ เชื่อมโยงประชาชน เชื่อมโยงกระทรวงต่างๆ เชื่อมโยงกับพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันต่อไปได้ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมที่มีจุดอ่อน เพื่อเปลี่ยนประเทศให้ดีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งมีเป้าหมายทำให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้
“ช่วง 18-19 เดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อมโยงการทำงานกับทุกส่วนได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการทำงานร่วมกับทุกกระทรวงได้ทั้งหมด ลดความซ้ำซ้อนของนโยบายและโครงการ สามารถต่อยอดความร่วมมือใหม่ๆ กับหน่วยงานรัฐ ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนดีขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความตื่นตัวที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม ทำให้ภาคเอกชนมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนธุรกิจอย่างชัดเจน
“โครงการหลักๆ ที่ได้ขับเคลื่อนภายใต้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง มีทั้งโครงการ Talent Mobility หรือโครงการจับคู่นักวิจัยเพื่อภาคเอกชนไทย เพื่อกระตุ้นนักวิจัยไปทำงานกับภาคเอกชน และเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากภาคเอกชนและนักวิจัยในระดับสูง จากที่ผ่านมานักวิจัยจะต้องทำงานในหน่วยงานรัฐเป็นหลัก มาตรการยกเว้นภาษี 300% สำหรับค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมให้เอกชนไทยลงทุนวิจัยและพัฒนา
“รวมทั้งได้เริ่มทำโครงการสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการจัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ 2016 ที่มีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 28 เม.ย.-1 พ.ค. 2559 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมเชิญเอกชนชื่อดังในวงการสตาร์ทอัพระดับโลก อาทิ นายเดฟ แมคเคลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง 500 สตาร์ทอัพ ที่เป็นกองทุนระดับโลก มีการเชิญผู้ร่วมลงทุน กองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์ แคปปิตอล) มาในงาน
“ขณะนี้มีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพสนใจเข้าร่วมงานกว่า 1,000 ราย เชื่อมั่นว่าจะส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดโลกและสร้างความสนใจให้แก่นักลงทุนทั่วโลก ถือว่าในปีนี้เป็นปีของสตาร์ทอัพไทยอย่างแท้จริง และจะเกิดการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพไทย รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มทำสตาร์ทอัพ”

พิเชฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงชุมชนและประชาชน เช่น โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำในชุมชน ที่มีชุมชนต้นแบบ 600 แห่ง ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร่วมนำมาใช้เป็นหลักการพัฒนาชุมชนต่างๆ ส่งผลให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ความสนใจประเทศไทย และใช้ไทยเป็นต้นแบบของประเทศกำลังพัฒนาที่มีการบริหารจัดการน้ำในชุมชน
รวมทั้งยังมีการนำดาวเทียมในหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มาช่วยการแก้ปัญหาน้ำและการเพาะปลูก ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงปัญหาหมอกควันในประเทศไทย และทำโมเดลแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่ป่าและการปลูกป่า ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพของประชาชนในหลายด้าน
ตลอดจนทำโครงการร่วมยกระดับสินค้าวิสาหกิจชุมชน และสินค้าโอท็อป การทำโครงการกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการต่างๆ ของหน่วยงานในกระทรวงทั้งหมด อาทิ การทำโครงการคูปองวิทย์เพื่อโอทอป และคูปองนวัตกรรมให้แก่เอสเอ็มอี ภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน หรือประชารัฐ
พิเชฐ กล่าวว่า ตลอด 18-19 เดือน ได้ทำงานต่อเนื่องและทำงานทุกวัน บางครั้งอาจจะไม่มีวันหยุด เพื่อต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย แต่หากถามถึงปัญหาในการทำงาน อาจจะเป็นเรื่องที่จะต้องมีการบูรณาการทำงานร่วมกันกับทุกหน่วยงานประชาชน จึงต้องมีการบูรณาการด้านต่างๆ ทำให้เกิดพลังประสานและขับเคลื่อนร่วมกันต่อไป
ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขลงทุนของภาคเอกชนต่อการลงทุน อาร์แอนด์ดี ที่มีสูงขึ้น ภาคเอกชน เอสเอ็มอี ตื่นตัวในการสร้างนวัตกรรม เพราะเอกชนรู้ดีว่าการแข่งขันในปัจจุบันที่มีความรุนแรงมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องปรับตัว และคำตอบคือ การนำนวัตกรรมไปใช้ เพื่อสร้างสินค้าที่มีความแตกต่าง
ล่าสุดตัวเลขการลงทุนวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) ในช่วงที่ผ่านมา มีจำนวนเงินลงทุนรวม 6.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.48% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ (จีดีพี) โดยแบ่งสัดส่วนในการลงทุนเป็นภาคเอกชน 54% ภาครัฐ 46% โดยการลงทุนวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน คิดเป็นจำนวนเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท จากจำนวนผู้ประกอบการกว่า 5,500 ราย ถือว่าลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 29% เมื่อนับจากปี 2556
ยกตัวอย่าง แบรนด์ซัมซุง ที่กำลังหันมุ่งมาลงทุนในอุตสาหกรรมยา เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต และเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมและใช้งบประมาณในระดับสูง จึงอยากให้เอกชนไทยมีความตื่นตัวที่จะลงทุนมากขึ้นในปี 2559 ซึ่งภาครัฐก็มีมาตรการจำนวนมากที่ออกมา ที่ส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐด้านอาร์แอนด์ดี รวมถึงกระทรวงการคลัง ที่จะมีมาตรการทางภาษีมาดึงดูดการลงทุนด้านอาร์แอนด์ดีเพิ่มขึ้น อีกทั้งเอกชนต้องปรับมุมมองการคิดใหม่สู่นอกกรอบ ที่สำคัญอย่ารอแต่ความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว
รวมไปถึงการทำโครงการให้ทุนการศึกษา เพื่อคนรุ่นใหม่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยในแต่ละปีจะมีการให้ทุนแก่นักเรียนประมาณ 100-200 คน พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม (STEM) เพื่อสร้างบุคลากรด้านสะเต็มให้มากที่สุด เพราะเป็นสาขาที่จะมีความสำคัญกับประเทศไทยในอนาคต
นโยบายและโครงการต่างกำลังสร้างให้ประเทศมีรูปแบบ (แพลตฟอร์ม) สำหรับการพัฒนาประเทศ ที่จะนำไปใช้ได้อย่างต่อเนื่องในทุกปี มองอนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยจะไปในทิศทางที่คู่ขนาน ทั้งเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวดี ผลักดันโดยนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงประชาชนในประเทศมีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น และต่อเนื่องไปจนถึงภาคการเกษตร ที่สามารถนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นวัตกรรม ไปใช้ รวมถึงการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้กับเศรษฐกิจไทยได้เช่นเดียวกัน
“ประเทศไม่ได้มีเพียงภาคอุตสาหกรรม แต่มีภาคการเกษตร ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเติบโตมาได้ แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่มีภาคการเกษตรที่สามารถเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ ในประเทศ ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงวิกฤต รวมถึงเศรษฐกิจพอเพียงยังสามารถนำไปใช้กับทุกด้านของชีวิต ทั้งครอบครัว ชุมชน การเกษตร” พิเชฐ กล่าว
พิเชฐ ย้ำว่า ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาปรับใช้กับทุกประเทศในโลกใบนี้ได้ เพราะในอีก 30-50 ปีข้างหน้า ประชากรในโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงระดับกว่า 9,000 ล้านคน จากปัจจุบันมีจำนวนประชากรรวมกว่า 7,000 ล้านคน ถือเป็นเรื่องใหญ่มากที่ประชากรในโลกใบนี้จะอยู่รอดได้อย่างไร คำตอบสุดท้ายในเรื่องนี้คือ “เศรษฐกิจพอเพียง”
“ขอยกย่องว่า เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นต้นแบบของโลกในศตวรรษนี้ หรือในรอบ 100 ปี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการทำงานของผมในทุกวันนี้”

เร่งสร้างคนรุ่นใหม่
“ผมเป็นลูกคนที่เก้า และเป็นลูกคนสุดท้ายของครอบครัวดุรงคเวโรจน์” พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก โดยเลือกเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เพราะเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ก่อนที่จะไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ต่อมาระดับปริญญาโท วิทยาการพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ Trinity University, Texas ประเทศสหรัฐ ปริญญาโท นโยบายและการจัดการสาธารณะ จาก Wharton School, University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐ และปริญญาเอก นโยบายและการจัดการสาธารณะ จาก Wharton School, University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐ เช่นเดียวกัน
“การเลือกเรียนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ความสำคัญของพลังงานแสงอาทิตย์จึงมีมาก แต่ความสำคัญในการบริหารจัดการโซลาร์เซลล์ก็สำคัญมากเช่นกัน ผมก็สนใจเกี่ยวกับการวางนโยบาย จึงเรียนในด้านที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอก
“การเรียนต่อต่างประเทศ ผมได้รับทุนการศึกษามาตลอด แต่ไม่ใช่ทุนการศึกษาของรัฐ แต่เมื่อเรียนจบก็ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย เพราะประเทศไทยคือบ้าน และสิ่งสำคัญอยากทำงานให้กับประเทศไทย จึงเลือกทำงานหน่วยงานภาครัฐมาตลอดชีวิตกว่า 20 ปี จนกระทั่งมารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
“ดังนั้น สิ่งสำคัญอีกด้านที่ผมทำระหว่างการรับตำแหน่งรัฐมนตรีคือ การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ สนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ และการจูงใจให้นักเรียนทุนการศึกษาของรัฐบาล หรือนักเรียนทุนส่วนตัวที่ศึกษาต่อต่างประเทศได้กลับมาทำงานในประเทศ โดยระหว่างที่ผมเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ร่วมโรดโชว์พร้อมกับคณะรัฐบาล ผมจะมีเวลาได้พบกับนักเรียนไทยที่อยู่ในต่างประเทศเสมอ
“ล่าสุดผมได้เดินทางไปพร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้เดินทางไปประเทศสหรัฐ ผมได้มีโอกาสไปพบกับนักเรียนไทยในเขตกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐ โดยมีจำนวนนักศึกษาไทยที่เข้าร่วมทั้งหมด 29 คน เป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนจากรัฐบาลไทยจำนวน 20 คน และนักศึกษาทุนส่วนตัว 9 คน ผมได้อัพเดทข้อมูลนโยบายใหม่ๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สตาร์ทอัพ และการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต (10 S Curve)
“ผมจะบอกและสร้างแรงจูงใจให้แก่ทุกคนว่า ทุกคนเป็นทรัพยากรของประเทศ เป็นความหวังของประเทศไทย จึงเชิญชวนให้ทุกคนกลับมาประเทศไทยเพื่อพัฒนาและสร้างประเทศไทย เชื่อว่าในประเทศไทยมีอะไรให้ทำอีกมากมาย หากนักเรียนทุนต้องการหรือเสนอแนะด้านใด ผมก็รับฟังและพร้อมหาทางส่งเสริม ผมเชื่อว่าทุกคนอยากกลับบ้าน อยากกลับมาทำงานในประเทศไทยอย่างแน่นอน คนรุ่นใหม่มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมาก และผมก็สอนลูกมาตลอดให้มีจิตอาสา ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากที่สุด
“ผมยังได้ย้ำว่านักศึกษาไทยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลไทย หรือเป็นนักศึกษาทุนส่วนตัว ล้วนเป็นบุคลากรที่สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอนาคตของประเทศไทยไม่ว่าจะในทิศทางใดนั้น ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของทุกคน” พิเชฐ กล่าว
อีกสิ่งสำคัญคือกำลังคนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีบุคลากรนักเรียนทุนจำนวน 4,500 คน ซึ่งมีจำนวนที่กลับมาทำงานในประเทศไทยแล้ว 2,700 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการศึกษาต่อในต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เตรียมทำโครงการนำนักเรียนทุนทั้งหมดของกระทรวงจำนวน 2,700 คน ที่กลับมาทำงานในประเทศไทยแล้ว มาเชื่อมโยงกับภาคเอกชนไทย เพื่อจับคู่ความต้องการของภาคเอกชน และพัฒนาให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่กำลังพัฒนา 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (10 S Curve)
ขณะนี้ได้มีการสำรวจนักเรียนทุนในแต่ละสาขาว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อนำมาจับคู่กับภาคเอกชน และร่วมมือกันพัฒนา สร้างนวัตกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคธุรกิจและภาคเอสเอ็มอีมากที่สุด
“ประเทศไทยมีกองทัพของนักรบสะเต็มหรือนักเรียนทุนที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งสามารถส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ให้เกิดการสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมภาคธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้ด้วย” พิเชฐ กล่าว
“หากถามว่า ถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ผมจะทำงานอะไร ยังบอกไม่ได้ … แต่ขณะนี้ผมอยากทำงานในตำแหน่งให้ดีที่สุด เพื่อสร้างประเทศไทยสู่ประเทศโฉมใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นวัตกรรม เอกชนไทยเปลี่ยนจากการผลิตแบบเดิม ไปสู่การผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง หรือพัฒนาแล้วให้ได้
“ผมเชื่อว่าอนาคต ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน” พิเชฐ กล่าวทิ้งท้าย