เปลี่ยนประชามติร่างรธน. เป็นศึกชี้ชะตาคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 เมษายน 2559 เวลา 07:41 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/428230

เปลี่ยนประชามติร่างรธน. เป็นศึกชี้ชะตาคสช.

โดย….ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ณ จุดนี้ต้องเรียกได้ว่ากระบวนการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนญกำลังเริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการ หลังจาก พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งหมายความว่านับจากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานใหญ่ครั้งนี้จะเริ่มลำดับการทำงานเพื่อให้การออกเสียงประชามติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมากที่สุด

แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่อาจสามารถมองข้ามไปได้ คือ การต่อสู้ในทางการเมือง ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะไม่ได้มีเฉพาะก่อนประชามติเท่านั้น เพราะมีแนวโน้มว่าจะลากยาวไปถึงหลังวันประชามติด้วย ไม่ว่าผลการออกเสียงจะเป็นอย่างไรก็ตาม

คำนูณ สิทธิสมาน เลขานุการและโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ได้ประเมินสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านการให้สัมภาษณ์พิเศษกับโพสต์ทูเดย์ไว้อย่างสนใจ โดยด้านหนึ่งมองว่าการออกมาของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาจต้องรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ผมว่าเป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะต้องมีการเคลื่อนไหวออกมาแบบนี้ แต่เป็นเรื่องที่คาดการณ์ยากว่าผลการทำประชามติจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่า คสช.น่าจะรับได้ในทั้งสองสถานการณ์ แน่นอนว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านได้มันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าไม่ผ่าน จะบอกว่าไม่กระทบกับ คสช.เลยก็เป็นไปไม่ได้”

“แต่ถามว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นไปตามที่ คสช.ต้องการทั้งหมดหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ เพราะว่าถ้าเราดูจากข้อเสนอของ คสช.ที่เสนอมาให้ กรธ. (คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ) เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า กรธ.จะปรับแก้ แต่ก็ปรับแก้ไขน้อยมาก ในที่สุดก็เลยเกิดคำถามประชามติคำถามที่สองออกมา แต่ถึงแม้จะมีคำพ่วงออกมา ผมดูตัวคำถามแล้วก็ไม่น่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก แม้คำถามที่สองจะผ่านความเห็นชอบจากประชาชนก็ตาม”

ส่วนผลกระทบที่ คสช.จะต้องเจอ หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ คำนูณ คิดว่า “ตอนนี้ คสช.หรือรัฐบาลพยายามวางตัวอยู่เหนือร่างรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญที่ คสช.ร่างขึ้นมาเอง ต้องชี้แจงให้ชัดว่าแม้แต่ คสช.ขอมาครั้งสุดท้ายก็ยังได้รับไปนิดหน่อย เพราะฉะนั้นต้องทำให้เกิดประเด็นหรือความชัดเจนขึ้นมาว่าการประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ประชามติพอใจหรือไม่พอใจ คสช. แต่เป็นเรื่องประชามติว่าพอใจหรือไม่พอใจร่างรัฐธรรมนูญ เพราะว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คสช.ไม่ได้เป็นผู้ร่าง และก็มีหลักฐานปรากฏชัดเป็นหนังสือของ คสช.ที่ส่งถึง กรธ.เมื่อวันที่ 13 มี.ค.”

“ถ้ามันเกิดความชัดเจนขึ้นมาว่าการประชามติเป็นการประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กรธ. มองโดยทั่วไปก็เหมือนว่าไม่เกี่ยวกับ คสช. เพียงแต่ว่าตามธรรมดาของการเลือกตั้งขนาดใหญ่หรือการลงประชามติ ผู้คนหรือสื่อมวลชนมักจะตีความว่าผลของการประชามติเป็นการสะท้อนความรู้สึกทางการเมืองของประชาชนต่ออำนาจรัฐในขณะนั้น”

แสดงว่าฝ่ายการเมืองกำลังพยายามใช้เกมนี้เพื่อบอกว่าการประชามติเป็นการประชามติว่าพอใจหรือไม่พอใจ คสช.? คำนูณ ตอบว่า “แน่นอน มันต้องเป็นอย่างนั้น ฝ่ายการเมืองที่ต่อต้าน คสช.ก็ต้องใช้ผลของการประชามติที่จะออกมา แม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ แต่หากบังเอิญสมมติมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญประมาณ 10 ล้านเสียง ก็จะมีการบอกว่าคน 10 ล้านเสียงไม่พอใจ คสช. ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น ดังนั้น คสช.ก็ต้องมีปฏิบัติการทางข่าวสารให้ประชาชนเข้าใจว่าแม้ว่า คสช.จะเป็นผู้แต่งตั้ง กรธ. แต่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเป็นของ กรธ.อย่างอิสระ”

ทั้งนี้ ในทัศนะของคำนูณยังเชื่อว่าแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ผ่านประชามติ แต่สุดท้ายการเลือกตั้ง สส.ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในปี 2560 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.กำหนดไว้

“คำพูดที่ยิ่งใหญ่ของหัวหน้า คสช.ที่เข้ามาและพูดย้ำตลอดเวลาว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่ในปี 2560 ผมว่าเป็นคำพูดที่ยากจะเป็นอื่น ถึงร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน มันก็มีวิธีการที่สามารถจะทำได้อีก แต่เป็นวิธีการใด จะต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 อีกครั้งหนึ่ง”

“ผมเชื่อว่าหลายคนคงคาดเดาได้ว่าเป็นวิธีการที่ไม่ใช่วิธีการแบบเดิม และไม่จำเป็นต้องไปลงประชามติอีกครั้งหนึ่ง เป็นวิธีการที่อาจจะคล้ายๆ กับที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 คือ ให้นำรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งหรือหลายฉบับมาปรับแก้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะโดย คสช.เองหรือโดยคณะกรรมการก็สามารถทำได้ภายใต้เวลาที่กำหนด ระยะเวลายังเหลือ เพราะผลประชามติจะออกมาภายในเดือน ส.ค. จะมีเวลาอีกหนึ่งปีครึ่งในการดำเนินการ”

“ผมว่าคงหนีไม่พ้นรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญ 2540, 2550, ฉบับอาจารย์บวรศักดิ์ และฉบับปัจจุบัน แต่นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่”

ขณะเดียวกัน อีกประเด็นหนึ่งที่คำนูณให้ความสนใจ คือ ทิศทางของประเทศไทยหลังจากการทำประชามติ โดยวิเคราะห์ว่าประเทศไทยจะอยู่ในระบบประชาธิปไตยระยะเปลี่ยนผ่านไปอีก 5-6 ปี แม้จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม ซึ่งคิดว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถยอมรับได้ เพียงแต่ช่วงระยะเวลานับจากนี้ คสช.จำเป็นต้องเร่งให้เกิดการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ที่มีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม

“โดยภาพรวมน่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะอยู่ในสภาพการณ์ที่เป็นระบอบประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่านไปอีกระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ 5 ปี บวกอีก 1 ปีเศษ เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นความต้องการและเป็นมุมมองที่ทาง คสช.มองไว้ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับรอลงประชามติก็เขียนชัดเจนไว้ในบทเฉพาะกาล”

“เชื่อว่าโดยภาพรวมใหญ่ ประชาชนส่วนข้างมากก็น่าจะพอรับได้กับสถานการณ์ที่เป็นอย่างนี้ เพราะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายความขัดแย้งและการต่อสู้ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าสิ่งที่จะต้องคำนึงคู่ควรกันไป คือ เมื่อได้ระยะเวลาไปแล้ว อย่าลืมว่าตั้งแต่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาจนถึงเวลานี้เกือบ 2 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องเร่งและต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรม คือ ต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง หรือปฏิรูปประเทศในเรื่องใหญ่ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่พี่น้องประชาชนจับต้องได้ สัมผัสได้ หรือก่อให้เกิดผลที่มันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศจริงๆ”

“เป็นเรื่องท้าทายนะ กับเวลาที่ได้ไป ได้มาแล้วเกือบ 2 ปี และกำลังจะต่อไปอีก 5-6 ปี ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะต้องยอมรับว่าระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา และอีก 5-6 ปีที่กำลังจะเข้ามา เป็นระยะเวลาที่เอื้อให้รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลต่อไปสามารถที่จะทำงานได้สะดวกและเต็มที่มากกว่ารัฐบาลในระบอบการเมืองตามปกติ”

“อย่างน้อยระยะเวลา 1 ปีกว่าๆ หลังจากรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นที่เป็นที่ประจักษ์ การเปลี่ยนแปลงในเชิงปฏิรูป ซึ่งจะว่าเป็นเวลาที่น้อยก็น้อย แต่มองอีกก็เป็นเวลาที่ไม่ใช่น้อยเลย เพราะเป็นระยะเวลาที่มีอำนาจพิเศษอยู่ในมือ โดยอย่างยิ่งมาตรา 44 อยู่ในมือจนถึงมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนสนับสนุน คสช.โดยตรงหรือไม่อาจสนับสนุนแต่อยากเห็นบ้านเมืองมีความสงบ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมชัดเจน”

สำหรับการปฏิรูปเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในความหมายของคำนูณ คือ การปฏิรูปตำรวจและการกระจายอำนาจ

“ตำรวจเป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นต้น ถ้าสามารถทำตรงนี้ให้เกิดขึ้นและไม่มีข้อกังขาใดๆ ได้ และเป็นหลักประกันของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจริงๆ ผมว่ามันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่อื่นๆ ตามมา แต่เราจะตกลงกันให้ชัดก่อน”

“ตลอดชีวิตตั้งแต่ที่ผมโตขึ้นมา ก็มีการพูดถึงการปฏิรูปตำรวจมาโดยตลอด แต่ว่าก็ไม่เคยทำได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นสารัตถะจริงๆ คือ เมื่อถึงวันนี้อย่างน้อยที่สุดมันต้องมีแผน ผมเข้าใจว่าที่ทางรัฐบาลมองว่าไม่อยากจะไปแตะเรื่องโครงสร้างในช่วงนี้ เพราะว่าอยากให้ตำรวจทำงานให้ได้ก่อน แต่ถามว่าถ้าภายใต้ในสภาวะที่มีอำนาจพิเศษเช่นนี้ยังไม่สามารถทำได้ แล้วจะไปทำได้ตอนไหน การไม่แตะในทันทีมันอาจจะเป็นไปได้ แต่อย่างน้อยมันต้องมีแผน”

“ต้องยอมรับว่าบทเรียนของนานาอารยประเทศ ระบอบประชาธิปไตยมันจะมีความมั่นคงสถาพรได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสร้างระบอบประชาธิปไตยในระดับประเทศระดับบนอย่างเดียว แต่จะต้องก้าวขึ้นมาจากระดับท้องถิ่น ดังนั้นเรื่องตำรวจเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและต้องมีแผนชัดเจน วันนี้ 5 ปีนี้อาจจะแตะโครงสร้างใหญ่ไม่ได้ แต่ในยุทธศาสตร์ 20 ปี มันจะต้องฉายภาพให้เห็น”

“ดังนั้นโดยรวมแล้วประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะที่มีระบอบพิเศษและกึ่งพิเศษรวมๆ แล้วเกือบ 8 ปี เมื่อนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 เพราะฉะนั้นในระยะเวลานี้จะต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดที่เป็นการปฏิรูปให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้ และถ้ายังสร้างไม่ได้ มันก็ต้องมีแผนชัดเจนที่จะต้องเกิดขึ้นให้มองเห็นชัดเจน ไม่เช่นนั้นมันก็จะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”

ประตูนายกฯคนนอก ปิดเกือบสนิท

โฟกัสมาที่คำถามพ่วงประชามติอีกหนึ่งคำถามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำหนดว่า “เพื่อให้การปฏิรูปประเทศต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดใน บทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” คำนูณ มองว่าจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองมากนัก แม้ว่าคำถามนี้จะได้รับความเห็นชอบจากประชาชนก็ตาม

“ประเด็นที่มาของนายกฯ เป็นประเด็นที่สำคัญมากผมก็แปลกใจเหมือนกันที่หลายฝ่ายที่ออกมาต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดโอกาสให้มีนายกฯ คนนอก ผมกลับเห็นตรงกันข้ามว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปิดทางนายกฯ คนนอก”

“คำว่านายกฯ คนนอกในที่นี้ คือ นายกฯ นอกพรรคการเมือง เพียงแต่ว่านายกฯ จะเป็นหรือไม่เป็น สส.ก็ได้ แต่โดยระบบปกติของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันเปิดโอกาสให้มีแต่นายกฯ ที่เป็นคนของพรรคการเมือง เพราะว่าที่มานายกฯ คือ ก่อนปิดรับสมัครเลือกตั้ง สส. ให้แต่ละพรรค การเมืองเสนอได้ไม่เกินพรรคละ 3 ชื่อ และพรรคที่จะเสนอชื่อให้สภาเลือกนายกฯ ได้ก็ต้องมี สส. 5% หรือ 25 คนขึ้นไป ดูจากสถิตเลือกตั้งเก่าที่มีพรรคการเมืองมี สส.เกิน 25 คนแล้ว จะทำให้มีแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นบัญชีอยู่ประมาณ 15 คน และเมื่อมีการเปิดสภาแล้ว เสนอชื่อใครก็ได้ใน 15 คนนี้
แล้วมาแข่งขัน ตรงนี้เป็นระบบปกติ”

“โดยสถานการณ์แล้ว ไม่มีพรรคการเมืองพรรคไหนที่จะไปเสนอชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่หัวหน้าพรรคตัวเองหรือเป็นคนใกล้ชิดพรรคของตัวเอง เพราะถ้าเสนอคนอื่นไปจะถูกโจมตีแหลกลาญว่าเป็นนอมินีให้คนอื่นหรือเปล่า นอกจากนี้ไม่มีคนนอกพรรคการเมืองคนไหน หรือคนกลางทางการเมืองคนไหนที่จะไปเซ็นยินยอมให้พรรคการเมืองใดเสนอชื่อตัวเองตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง เพราะยังไม่รู้ผลการเลือกตั้งและไม่รู้อนาคต และการเซ็นยินยอมดังกล่าวจะทำให้คนนั้นสูญเสียความเป็นคนนอกพรรคการเมืองและความเป็นคนกลางนั้นไปแล้ว”

“ดังนั้น โดยระบบนี้นายกฯ ที่จะได้มาจึงต้องเป็นคนในพรรคการเมืองหรือใกล้ชิดพรรคการเมือง โอกาสที่จะได้คน นอกพรรคการเมืองหรือคนกลางทางการเมืองอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เกือบเท่ากับศูนย์”

“คำถามพ่วงออกมา เพียงแต่ให้ระยะ 5 ปีแรกในการเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหนงนายกฯ เป็นการเลือกของที่ประชุมร่วมรัฐสภา คือ แค่ให้ สว.ไปร่วมโหวตด้วย แต่ สว.เสนอชื่อเองไม่ได้ โดยการเลือกนายกฯ จะต้องเลือกมาจากบัญชีของพรรคการเมืองเท่านั้น ดังนั้นการเอา สว.เข้าไปโหวตด้วย มันก็ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก มันก็กลายเป็นว่าเอา สว.ไปเลือกนายกฯ จากตัวเลือกที่มีของพรรคการเมือง”

“ตรงนี้ผมถึงบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดนายกฯ คนนอกหรอก แต่เป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ปิดประตูนายกฯ คนนอกเกือบสนิท เหตุที่ยังไม่สนิท จะมีเหตุตามบทเฉพาะกาล มาตรา 272 เท่านั้นที่ให้สามารถเลือกนายกฯ นอกบัญชีของพรรคการเมืองได้ หากรัฐสภามีมติเห็นด้วย”

คำนูณ สรุปว่า ถ้าประชามติผ่านทั้งสองคำถาม ในทางปฏิบัติจะมีการประชุมร่วมรัฐสภา ก็แปลว่าคนที่ได้รับเลือกนายกฯ จะมาจากบุคคลในบัญชีพรรคการเมือง โดยรัฐสภาต้องมีมติเสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ 375 คน จาก สส.และ สว.ทั้งหมด 750 คน ลำพัง สส.ฝ่ายเดียวคงหาเสียงขนาดนั้นได้ยาก คงต้องมีเสียง สว.ไปร่วมด้วย ถ้าได้ก็ได้ไป แต่ถ้าไม่ได้ สส. 250 คน ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาขอให้เปิดประชุมรัฐสภาเพื่อมีมติยกเว้นให้ไม่ต้องเลือกนายกฯ จากบัญชีพรรคการเมือง ก่อนกลับมาประชุมร่วมกันในรัฐสภาอีกครั้งเพื่อเลือกนายกฯ โดยสามารถเลือกบุคคลนอกบัญชีพรรคการเมืองได้

“แต่ผมว่ามันก็คงวุ่นพอดูนะ ถ้าเกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นมา การจะเกิดสถานการณ์อย่างนั้นขึ้นมาได้ หมายความว่า สว.ต้องงดออกเสียงในการเลือกนายกฯ ครั้งแรก ซึ่งมันคงเป็นประเด็นทางการเมืองตามมาพอสมควร”

สิทธิประชาชนยังกังขา ขาดกลไกแก้วิกฤต

คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยระบุว่ามีจุดที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และยังเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ว่าจะเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

“ข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญ คือ มาตรการการคัดคนเข้าสู่ระบบทางการเมืองมีความเข้มข้นมากขึ้น มาตรการในการดำเนินการกับผู้กระทำทุจริตก็มีความเข้มข้น แต่ประเด็นที่เป็นจุดวิพากษ์วิจารณ์น่าจะมี 2 จุด จุดแรก คือ วิธีการเขียนร่างรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิเสรีภาพที่ใช้วิธีการเขียนแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 อันนี้มีข้อถกเถียงในทางวิชาการมากพอสมควร”

“ในการปรับแก้ไขครั้งสุดท้าย กรธ.ก็ได้ปรับเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปมาก แต่แยกเอาไว้ในหมวดหน้าที่ของรัฐ ไม่ได้อยู่ในหมวดสิทธิเสรีภาพทั้งหมด ซึ่งเป็นประเด็นทางวิชาการว่าแบบไหนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป เป็นข้อถกเถียงในทางวิชาการว่าจะเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ให้ประชาชนมีสิทธิก่อนหรือจะไปบังคับรัฐเป็นตัวตั้ง ก็สุดแท้แต่มุมมอง”

“ถ้าเขียนให้ประชาชนเป็นประธาน คือ เรามีอย่างสิทธิอย่างนี้ พอเรามีสิทธิอย่างนี้ ผู้มีหน้าที่ก็ต้องจัดให้เรา ถ้าไม่จัดให้ก็เป็นสิทธิในการฟ้องร้อง แต่ถ้าไม่ได้เขียนไว้ในหมวดสิทธิเสรีภาพแต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องจัดให้ แล้วรัฐไม่ได้ทำ เราไปฟ้องร้องรัฐได้หรือไม่ ก็เป็นประเด็นที่ต้องดูกันต่อไป”

“โดยหลักวิชาการก็น่าจะเขียนให้ประชาชนเป็นประธาน ที่ผ่านมาก็เป็นการเขียนที่คุ้นชินกันมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 เพราะฉะนั้นเมื่อมีการปรับวิธีการเขียนใหม่ ก็ก่อให้เกิดประเด็นคำถามขึ้นมา แต่ในเมื่อท่านชี้แจงว่าไม่ต่างกันก็ต้องพิสูจน์กันไป”

อดีต กมธ.ยกร่างฯ แสดงทัศนะเพิ่มว่า อีกประเด็น คือ ประเด็นทางการเมือง ได้แก่ ระบบการเลือกตั้ง สส.และที่มาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นระบบที่ไม่เคยใช้ที่ไหนในโลกเข้ามาใช้

“ระบบเลือกตั้ง สส. การให้มี สส.เขตและบัญชีรายชื่อ แต่ให้เลือกโดยบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว คือ เลือก สส.เขต ข้อดีก็มีตามที่ กรธ.ชี้แจง ข้อด้อยก็มีหลายตามที่แต่ละฝ่ายแสดงความเห็นกันมาก ในส่วนของผมเห็นว่าข้อด้อยที่สำคัญที่สุด คือ เป็นการตัดโอกาสพรรคการเมืองขนาดเล็ก ตัดโอกาสพรรคเกิดใหม่ ไม่ให้มีตัวแทนในสภาผู้แทนราษฎรแม้แต่หนึ่งหรือสองคน คือ พรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่ที่เคยหวังคะแนนเสียงจากคะแนนบัญชีรายชื่อและสามารถมี สส.ในสภาได้ 1-3 คน ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในระบบนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการตัดทางเลือกของประชาชนไป”

“ถ้าระบบการเลือกตั้ง สส.แบบบัตรสองใบ มันจะมีพรรคเกิดใหม่ พรรคความคิดใหม่ๆ ที่เขาอาจจะมีคะแนนความนิยมอยู่กระจายทั่วประเทศ แต่ไม่มีคะแนนนิยมเขตใดเขตหนึ่งเป็นการเฉพาะ เขาเลือกส่งเฉพาะบัญชีรายชื่อ ไม่จำเป็นต้องส่งผู้สมัคร สส.ให้ครบทุกเขต พอมีคะแนนบัญชีรายชื่อจากทั่วประเทศรวมเข้ามาสักหนึ่งแสนคะแนน เขาก็มี สส.ได้หนึ่งคน แต่พอเป็นระบบในร่างรัฐธรรมนูญก็หมดสิทธิ เพราะคะแนนบัญชีรายชื่อจะมาจากคะแนนของการเลือกตั้ง สส.ระบบเขต จะส่งเขตเดียวก็ไม่พอ ก็ต้องส่งให้มากที่สุด ผมเห็นว่าเป็นจุดที่ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก”

“อีกประการหนึ่ง คือ เรื่องที่มาของนายกฯ ซึ่งไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงเหมือนกันว่าระบบนี้จะก่อให้เกิดข้อดีมากกว่าข้อเสียอย่างไร ข้อเสียข้อหนึ่งที่ผมพูดมาตลอด คือ ชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอกันมาพรรคละไม่เกิน 3 รายชื่อ มันจะคาอยู่ตลอดอายุของสภาผู้แทนราษฎร และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อย่างการเปลี่ยนตัวนายกฯ โดยที่ไม่มีการยุบสภาจะเลือกนายกฯ อย่างไร หรือจะให้ สว.เข้าไปเลือกด้วยก็แล้วแต่ มันก็ต้องเลือกแต่บัญชีของพรรคการเมืองเท่านั้น ซึ่งมันทำให้เป็นการปิดทางเลือกในการแก้ไขปัญหาในขณะนั้น”

“ถ้าเราจะเขียนว่านายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็น สส. เราก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดกว้างไว้ในกรณีที่มีความจำเป็น ก็ให้มีคนที่ไม่ได้เป็น สส.และมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนั้นสามารถขึ้นมาเป็นนายกฯ ได้ ถ้าเราต้องการแสดงเจตนารมณ์เพื่อต้องการนายกฯ เป็น สส.ก่อน เราก็อาจจะใช้คะแนนเสียงที่แตกต่างกันก็ได้ เช่น ให้สภามีมติเกินกึ่งหนึ่ง หรือ ถ้าคนนั้นไม่ได้เป็น สส. ก็ให้สภามีมติ 2 ใน 3 ก็สุดแล้วแต่”

“แต่พอไปล็อกไว้ว่านายกฯ ต้องมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่ได้เสนอไว้ ในที่สุดก็จะเป็นแต่คนของพรรคการเมืองเท่านั้นที่เป็นนายกฯ และจะไม่ได้คนที่มีความทันและความเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ ตรงนี้เป็นระบบที่ผมเห็นว่ามีปัญหา ส่วนตัวได้มีการเสนอความคิดเห็นไปแล้วตั้งแต่เปิดร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้มีการแก้ไขในจุดนี้”

สุดท้าย ในเรื่องของการสร้างความปรองดองผ่านกลไกตามร่างรัฐธรรมนูญ คำนูณ มองว่า การสร้างความปรองดองไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ แต่จะอยู่ที่นโยบายและทิศทางของรัฐบาลชุดนี้

“การปรองดองไม่น่าจะใช่เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ น่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ที่เราจะต้องดูกันต่อไปในช่วงสุดท้าย คือ ช่วงหนึ่งปีก่อนจะมีการเลือกตั้งมากกว่าว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งเท่าที่ดู คือ คิดว่าก็คงมีนโยบายในเรื่องนี้ออกมาช่วงปี 2560”

“อย่างน้อยบรรยากาศก่อนที่จะไปสู่การเลือกตั้งมันน่าจะมีความคลี่คลายในระดับหนึ่ง แต่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูกันต่อไป เพราะดูในทิศทางแล้ว รัฐบาลต้องการให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามกฎหมาย แต่ผมเองเห็นว่าในส่วนที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายก็ควรดำเนินไป แต่ส่วนที่เกี่ยวกับประชาชน ถ้ามันมีประเด็นใดที่สามารถคลี่คลาย ในบางคดีที่ไม่ใช่คดีความมั่นคง มันก็ต้องมีการพูดกันว่าจะทำอย่างไร เพราะมันเป็นภาระแก่ทุกฝ่ายในการต่อสู้คดี และแต่ละคดีมีผู้ถูกกล่าวหาเป็นจำนวนมาก สิ้นเปลืองงบประมาณในการดำเนินการทางกฎหมายและการต่อสู้คดี”

“ส่วนตัวขณะนี้ยังมองไม่เห็นว่าทิศทางของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร เพราะขนาด สนช.พยายามจะเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาก็ถูกชะลอเอาไว้ เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลมีทิศทางที่ต้องการทำเรื่องนี้ในปี 2560” คำนูณ ทิ้งท้าย

 

Leave a comment