พันต่อ ศรีไตรรัตน์ ฉากแอ็กชั่น LA ที่ไม่ได้อยู่ในหนัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 เมษายน 2559 เวลา 09:23 …. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/426996

พันต่อ ศรีไตรรัตน์ ฉากแอ็กชั่น LA ที่ไม่ได้อยู่ในหนัง

โดย…กองทรัพย์ ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์ / พันต่อ ศรีไตรรัตน์

ในมุมหนึ่งของเมืองลอสแองเจลิส (Los Angeles) ที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรมการบันเทิง และแสนวุ่นวาย เวลาราวเที่ยงคืนของกลางดึกคืนหนึ่ง นายตำรวจพันต่อ ศรีไตรรัตน์ เจ้าของป้าย LAPD (Los Angeles Police Department) รหัส  40405 และเจ้าของฉายา S-12 นั่งหลังพวงมาลัยรถตำรวจที่เปิดสัญญาณฉุกเฉินนำรถอีกสองคันกำลังมุ่งหน้าสู่นอกเมือง จุดหมายคือการจับกุมคนร้ายตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ในสถานการณ์ที่ทำงานล่วงเวลาเกิน 12 ชั่วโมง กับตำรวจ 6 นาย ขณะที่รถตำรวจกำลังแล่นผ่านสถานีตำรวจ แต่ขณะนั้นเองเสียงวิทยุในรถคันแรกก็ดังขึ้นว่า “Office need help” เพราะเกิดเหตุมีคนพกปืนขึ้นไปบนโรงพักแล้วกราดยิงตำรวจ

“ผมกับเพื่อนๆ ในทีม ซึ่งมี 6 คน ตัดสินใจเลี้ยวรถกลับมาดูที่สถานีตำรวจ คำว่า Officer Down ตอนนั้นคล้ายว่าเพื่อนเรากำลังจะตาย ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคนร้ายมีกี่คน มายังไง มีปืนอะไรอยู่ในมือ ก็เลยตัดสินใจว่าพวกเรามีกัน 6 คน จะต้องต่อสู้กับเขา ไม่ว่าเขาจะมา 4 คน 10 คน หรือ 15 คน ก็ต้องสู้กับเขาให้ได้”

 

หนุ่มหน้าตาคมเข้มเลือดไทยแท้ตรงหน้า ที่ไปเรียนและใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกากว่า 20 ปี เล่าประสบการณ์ระทึกในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ LA ด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน แววตามุ่งมั่นของเขาบวกกับท่าทางมั่นใจ ด้วยเวลา 6 ปีของงานที่ได้ดูแลชาว LA เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปต้องเป็นฉากที่หวาดเสียวไม่แพ้ในหนังแอ็กชั่นเรื่องไหน “เป็นความท้าทายครั้งแรกของผมที่ได้เป็นผู้นำของหน่วยพิเศษหน่วยนี้ เพราะปกติจะเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ตำแหน่งสูงกว่าผมต้องเป็นคนนำ แต่สถานการณ์ตอนนั้นผมออกคำสั่งและทุกคนเชื่อมั่นในตัวเราให้นำการปราบปราม จากนั้นผมก็หยิบปืนใหญ่นำทีมเดินไปด้านหลังของโรงพักซึ่งมืดมาก ผมเริ่มวางแผน ตอนนั้นภาพในหัวเกิดขึ้นเป็นฉากๆ พวกเราค่อยๆ ตามไปจนในที่สุดก็เจอรถของคนร้าย เริ่มการสำรวจรถก็เจอระเบิด พอเราเห็นระเบิดก็สันนิษฐานว่ามันอาจจะทำงานไว้ก่อน ก็เลยบอกทุกคนว่าอย่าจับรถ เพื่อนชะโงกดูอีกพบว่ามีปืนอยู่ในรถด้วย

“เราวางแผนเรียกหน่วยเก็บกู้ระเบิดมา จากนั้นหน้าที่ของพวกผม 6 คน คือค่อยๆ ล้อมวงเข้าไปเพื่อจับกุมคนร้าย พบว่าคนร้ายมาคนเดียว แต่เขายิงตำรวจในสถานีไป 5 นาย และเขาขัดขืนการจับกุม สุดท้ายก็ถูกวิสามัญ จากนั้นเราก็เคลียร์พื้นที่ ตรวจค้นระเบิดก็พบว่ามีระเบิดแต่ไม่ได้จุดชนวน” พันต่อ หรือ S-12 เล่าถึงการเป็นผู้นำการจู่โจมภายใต้ความกดดันครั้งแรกที่เขาแสนจะภูมิใจ

 

อันที่จริงเหตุการณ์ตลอด 6 ปี ของการทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มีเหตุการณ์มากมายที่หนุ่มไทยคนนี้ได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ แต่เขาบอกว่าไม่สามารถเล่าได้หมด หรือบางเหตุการณ์ก็อ่อนไหวเกินกว่าจะเล่าได้ สิ่งที่เราได้ยินจึงเป็นเรื่องที่พอจะเปิดเผยได้เท่านั้น

เล่าย้อนไปก่อนที่ใครต่อใครใน LA จะเรียกเขาว่า S-12 ชื่อเล่นของพันต่อคือ บอมบ์ (Bomb) ซึ่งไม่ใคร่จะมงคลสำหรับต่างชาติเท่าใดนัก อีกทั้งนามสกุลศรีไตรรัตน์ ซึ่งมีอักษรภาษาอังกฤษยาวถึง 12 ตัวอักษรก็อ่านยากสำหรับเพื่อนและหัวหน้างาน ดังนั้นพันต่อจึงมีรหัสลับของชื่อว่า S-12 คือนายตำรวจที่มีนามสกุล 12 ตัว และขึ้นต้นด้วยอักษร S “อันที่จริงผมเรียนจบการโรงแรมมา และมีความฝันอยากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นความฝันเดียวกับคุณพ่อด้วย หลังจากทดลองทำงานโรงแรมกับพี่สาวแล้วรู้สึกว่ายังไม่ใช่ ก็เลยกลับไปอเมริกา และสมัครตำรวจ ซึ่งการเป็นตำรวจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนที่จะเป็นตำรวจได้ต้องไม่เคยทำผิดกฎหมาย ต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผมสอบเขียนเป็นรายงาน สอบสัมภาษณ์รอบแรกเสร็จก็เข้าเครื่องจับเท็จ ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ก็จะได้เข้าสัมภาษณ์รอบที่ 2 จากนั้นก็จะมีการสืบประวัติ เขาจะมีคนมาคุยกับคุณพ่อคุณแม่ คุยกับเพื่อนบ้าน คุยกับทุกคนที่รู้จักเรา แล้วก็จะตัดสินใจว่าจะรับเราเป็นตำรวจหรือไม่

 

จากวันที่ไปสอบสัมภาษณ์ผมเตรียมตัวนานกว่า 1 ปี ถึงจะได้เข้าเรียนในอะคาเดมีเป็นเวลา 6 เดือน เขาจะเรียกว่า Recruit ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องเคี่ยวให้การใช้อาวุธปืน การขับรถทักษะเดียวกับรถแข่ง แต่เราต้องขับในเมือง ควบคู่กับการเรียนกฎหมาย และการใช้แท็กติกกับผู้ร้ายแบบต่างๆ ก่อนจะเรียนจบมาทำงานเป็นตำรวจเต็มตัว พอเรียนเสร็จสอบเสร็จแล้วได้ป้าย LAPD นัมเบอร์ของเราคือ 40405 ตัวเลขของเรากำกับเราต้องจำไว้ตลอดชีวิต และเข้าไปวันแรกเขาจะเรียกเราว่า P1-Police Officer One ก็คือเป็นเด็กฝึกงาน”

วันแรกของการเป็นตำรวจใหม่ไม่ต่างจากการถูกพ่อพาไปโรงเรียนที่มีเพื่อนพูดแต่ภาษาอังกฤษ แต่เด็กชายชาวไทยอายุ 12 ปี ยังสื่อสารกับใครไม่ได้ เพราะวันแรกของการเป็นตำรวจของเขาก็เจองานยากเสียแล้ว หลายครั้งที่ชายหนุ่มพูดว่า “สิ่งที่เขาได้มาไม่เคยมีอะไรง่าย”

 

ธรรมเนียมของการเป็นนักเรียนตำรวจที่เพิ่งจบการศึกษาต้องโกนหัว วันแรกของการทำงานจึงหัวโล้น ใส่เสื้อแขนยาว ผูกเนกไท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ผู้ร้ายเห็นก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือตำรวจใหม่ “วันแรกก็เจอของแข็งเลย จำได้ว่ามีโทรศัพท์เข้ามาตอน 9 โมงเช้า มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกสองคน โทรมาแจ้งว่าลูกชายมีอาการทางประสาท เกิดภาพหลอนและกลัวว่าจะมีคนมาทำร้าย ซึ่งมีปืนอยู่ในบ้านด้วย คนเป็นแม่โทรมาขอความช่วยเหลือ ครูบอกว่า เด็กใหม่! ปีนรั้วเข้าไปดูข้างในซิว่าเกิดอะไรขึ้น เอ๊า!! เราไม่เคยเป็นตำรวจมาก่อน ก็งงว่าปีนเข้าไปเลยเหรอ ครูบอกว่าใช่! ยูเป็นเด็กใหม่ไม่ใช่เหรอ ต้องปีนสิ ก็เลยปีนเข้าไปดูสถานการณ์

“จากนั้นผมก็ส่งสัญญาณให้คนอื่นตามเข้ามาในบ้าน พอทุกคนปีนตามมา ครูก็บอกว่าพูดกล่อมคนร้ายสิ เราก็พูดกับเขาเพราะเคยพูดกล่อมในลักษณะนี้มาบ้างตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยก็ทำงานช่วยเหลือผู้ถูกทารุณในครอบครัวมา 4 ปี ก็เลยมีทักษะการพูดจาโน้มน้าว เราพูดกับเขาดีๆ เราก็เล่นบทหลอนกับเขาไปด้วย เพราะเขาเข้าใจว่ามีคนจะทำร้ายเขา เราต้องไม่ทำให้เขารู้สึกว่าเรามาร้าย หลังจากนั้นเขาก็ยอมออกมามอบตัว ในตัวไม่มีอาวุธปืน พอเข้าไปในบ้านเท่านั้นแหละปืนเต็มบ้านเลย แต่เราต้องช่วยคุณแม่ซึ่งอยู่ในบ้านก่อน พอคุณแม่ออกมาก็ขอบคุณตำรวจ คืนนั้นเราทำงานล่วงเวลาไป 10 ชั่วโมง เพราะปืนเขาเยอะต้องทำงานเอกสารให้เรียบร้อย ภาพในหนังคนดูหนังจะเข้าใจว่าตำรวจมีหน้าที่ยิง ยิง ยิง แล้วก็กลับบ้าน แต่จริงๆ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

 

การเป็นตำรวจวันแรกก็เหมือนกับคุณเป็นคนทำข้าวผัดครั้งแรก ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอาหารอร่อยในครั้งแรก แต่ถ้าคุณทำข้าวผัดทุกวันทั้งวันติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี ฝีมือของคุณก็ต้องเก่งขึ้น รสชาติก็ต้องดีขึ้น ตำรวจก็เช่นกัน การวิ่งไล่จับผู้ร้ายทั้งวันทุกวันมา 1 ปีเต็ม ก็ต้องรู้ว่าจะจับผู้ร้ายอย่างไร จะทำให้ผู้ร้ายยอมเข้าห้องขังแต่โดยดีอย่างไร พ้นจากเด็กฝึกงาน พันต่อก็ก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง P2 (Police Officer II) ซึ่งตอนนี้บอมบ์อยู่ในตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ได้ทำงานหลากหลาย ซึ่งเขาตั้งเป้าไว้ว่าจากนี้ 2 ปี จะไปเป็นครูฝึกในตำแหน่ง P3 (Police Officer III) จากนั้นก็จะเป็นตำแหน่งที่คอหนังแอ็กชั่นจำได้ดีคือยศจ่า นักสืบ แล้วแยกเป็น SWAT และหน่วยก่อการร้าย ตามความสนใจ “ถ้าคุมคนอาจจะต้องรอให้โตกว่านี้ ถ้าเป็นครูฝึกก็อยากจะสอน 1 ปี แล้วอยากเข้าไปในหน่วยที่ดูแลพื้นที่พิเศษ ก่อนเข้าไปเป็น SWAT หรือหน่วยก่อการร้าย เพราะเรามีโอกาสให้ไปเรียนเกี่ยวกับหน่วยก่อการร้าย ซึ่งคุณพ่อก็รู้เป้าหมายนี้ของเรา”

“เวลาทำงานที่ชอบก็จะทำเต็มที่โดยไม่สนว่าเงินจะได้เท่าไร ถ้ามันช่วยคนและทำให้เรารู้สึกดีก็ทำ ในปีแรกผมได้รับเชิญเข้าไปในหน่วย (Unit) ที่เป็นหน่วยพิเศษอยู่ในโรงพักของเรา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 300 คน ซึ่งหน่วยพิเศษนี้มีจำนวน 6 คน โดยหน่วยนี้จะทำหน้าที่ตระเวนในเมือง LA ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นร้ายแรง เช่น เกิดเหตุยิงกันหรือฆ่ากันแล้วหนี หน่วยนี้จะเป็นคนที่จะต้องไปจับเขาให้เร็วที่สุด ถ้าเราพบว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ไกลแค่ไหนก็ต้องขับรถตามไปจับมาให้ได้ หรืออาจจะเป็นเคสที่ค่อนข้างจับกุมยาก หรือมีวีไอพีมาเขาก็จะมอบหมายให้หน่วยของผม ซึ่งมี 6 คนนี้ไปเป็นผู้คุ้มกันให้คนสำคัญ”

 

ตลอดเวลาที่หนุ่มมาดเนี้ยบคนนี้บอกเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาทำงานได้อย่างภาคภูมิใจและเป็นที่รักก็คือเลือดคนไทยในตัวที่นอบน้อม รู้จักกาลเทศะ และภาษาไทยที่ใช้สื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ในบ้านกลายเป็นสิ่งที่ตำรวจ LA ต้องการ

อาชีพอยู่บนความเสี่ยงและแขวนชีวิตไว้กับอันตรายวันละ 12 ชั่วโมง หรือบางวันก็มากกว่านั้น พันต่อ บอกว่า อันตรายต่างๆ มันจะน้อยลงหากคุณรู้ว่าทำอะไรอยู่ ไม่ประมาท และควบคุมความกลัวให้อยู่ในระดับที่พอดี และคิดก่อนทำทุกอย่าง แต่ต้องเร็วพอจะไม่ทำให้ผู้ร้ายเผ่นหนี และไม่มีใครต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิต “เวลาเราทำงานเราประมาทไม่ได้ กฎของตำรวจมีอย่างเดียวเลย คือ Everybody goes home ทุกคนต้องกลับบ้าน ได้นอนเตียงของตัวเอง เราจะพูดคำนี้ทุกวัน ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำต้องคิดมาแล้วอย่างดี”

หวังว่าคืนนี้ทุกคนจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย…

 

Leave a comment