อันตรายหน้าบ้าน นารีพร ชัยรัตนะถาวร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 เมษายน 2559 เวลา 10:18 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/424943

อันตรายหน้าบ้าน นารีพร ชัยรัตนะถาวร

โดย…วราภรณ์ ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

ใครจะคาดคิดว่าอันตรายจะอยู่ใกล้แค่ซอยภายในหมู่บ้าน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นกับ เล็ก-นารีพร ชัยรัตนะถาวร วัย 43 ปี ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด เจ้าของคำเตือนอย่าเดินคนเดียวในซอยเปลี่ยวเพราะอาจเสี่ยงกับการโดนโจรตีศีรษะด้วยของแข็งจนสลบส่งผลให้เธอมีเลือดคั่งในสมอง แต่เดชะบุญโชคยังดีที่เธอยังจำเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ต้องเผชิญกับการผ่าตัดสมองซึ่งอาจเสี่ยงกับการเป็นเจ้าหญิงนิทรา

คราวเคราะห์มาเยือน

ออฟฟิศของนารีพรอยู่ย่านเกษตรนวมินทร์ บ้านอยู่หมู่บ้านเสนานิเวศน์แยกวังหิน เธอมักเลิกงานหลัง 6 โมง กลับบ้านดึกสุดไม่เกิน 1 ทุ่ม ทุกวันเธอจะออกจากออฟฟิศนั่งรถสองแถวแล้วมาลงตรงแยกเสนานิเวศน์เพื่อเดินเข้าซอยนั่งวินมอเตอร์ไซค์เป็นประจำในวันทำงาน แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เธอจำวันนั้นได้แม่นยำ 21 ต.ค. 2556 เป็นวันจันทร์ เธอดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดภัยร้ายเพราะเธอที่บ้านหลังนี้อยู่มานาน 20 ปีแล้ว

“วันนั้นกลับบ้านไม่ดึกเพราะรู้สึกเหนื่อยและเพลีย จึงอยากกลับบ้านเร็ว มาถึงแยกเสนานิเวศน์ประมาณ 6 โมง 45 นาที แถวนั้นยังไม่มืดมาก พอลงตรงแยกเสนานิเวศน์ต้องเดินเข้าไปในซอยเสนาอีกนิดราว 300 เมตร จะเจอวินมอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้านจอดรอราวๆ 10 คัน แต่วันนั้นรอนานมากกว่าปกติ”

 

ยืนรอวินมอเตอร์ไซค์ราวๆ 20 นาที ก็ยังไม่มา เธอจึงตัดสินใจเดินเพราะมองดูท้องฟ้าก็ยังไม่มืดแค่โพล้เพล้ ใจคิดคงไม่เป็นอะไรเพราะอีกเพียงไม่ถึง 1 กม. ก็ถึงบ้านแล้ว จึงตัดสินใจเดิน ระหว่างเดินเข้าซอยก่อนประสบเหตุเธอยังเดินคุยโทรศัพท์สั่งงานน้องๆ ให้แวะซื้อกระเจี๊ยบมาทำเครื่องดื่มถ่ายภาพโปรโมทร้านอีกด้วย

“พอคุยเสร็จก็วางสายและยัดโทรศัพท์มือถือไว้ในกางเกง พอดีเดินเข้าซอย 117 มาแล้ว แต่บ้านดิฉันอยู่ซอย 119 สามารถเดินทะลุซอย 117 เข้าไปได้” จังหวะที่กำลังจะเดินข้ามถนนตัดซอยมานั้นเอง สายตาเธอมองไปเห็นรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายมาด้วย 1 คน กำลังขี่มาทางนี้ เป็นรถจักรยานยนต์เก่าๆ คนขี่ดูสกปรก ลักษณะท่าทางติดยา ขับรถมุ่งตรงมาอย่างช้าๆ สายตาของมันพุ่งตรงมาที่เธอ

“ตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก เพราะเราเดินอยู่คนเดียว มันหยุดรถลงมายืนรอตรงซอยที่ดิฉันกำลังจะเดินไปซึ่งตรงนั้นเป็นสามแพร่งที่เราจะข้ามไปพอดี แต่เราต้องเดินเข้าไปในซอยที่อยู่ใกล้มัน สายตาดิฉันมองจ้องไปที่มัน เพื่อดูท่าทีว่ามันจะทำอะไรเราหรือเปล่า สมองคิด ณ วินาทีนั้นเราจะทำอย่างไรดี แต่ในหมู่บ้านแสงไฟน้อยมาก ถึงจังหวะต้องเผชิญหน้า เราก็ใจไม่ดี เราพยายามเดินห่างๆ เข้าไว้ แต่สังเกตในมือมันไม่มีอาวุธ มีคนหนึ่งยืนบนพื้น อีกคนยืนอยู่ใกล้ๆ มอเตอร์ไซค์ สักพักคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเรา แม้เราจะเดินแอบๆ พยายามเดินอ้อมๆ แล้วมันก็เดินเร็วๆ เข้ามาหาเล็กและทำท่าเหมือนมากระชากที่คอ มันเห็นบัตรพนักงานที่เล็กห้อยคออยู่ นึกว่าเป็นสร้อยทอง มันก็กระชากจนบัตรพนักงานหลุดติดมือไปเลย”

 

โดนฟาดอย่างแรงที่ท้ายทอยจังหวะนั้นเธอก็วิ่งหนีโจร ปากก็ร้องตะโกนให้คนช่วยสุดเสียง…ช่วยด้วย…ช่วยด้วย แต่ไม่มีใครออกมา เธอวิ่งได้ไม่กี่ก้าวราวๆ 60 เมตร ก็รู้สึกมีวัตถุแข็งมากระแทกที่ศีรษะด้านหลังอย่างแรงแล้วสลบไป

“พอโดนตีปุ๊บเหมือนสมองชัตดาวน์ รู้สึกตัวอีกทีมีลุงคนหนึ่งเห็นเรานอนอยู่ตรงถนนก็เข้ามาปลุก ถามว่าเราเป็นอะไรไหม ดิฉันเริ่มรู้สึกตัวแต่รู้สึกมึนๆ หัว ไม่มีเลือดไหล แต่กระเป๋าที่สะพายหายไป ได้แต่นั่งงง ไม่รู้ว่าโดนอะไรตี แต่บริเวณนั้นมีบ้านที่กำลังก่อสร้างเยอะ มันคงเอาไม้แถวนั้นตี แต่ในกระเป๋าโชคดีที่ไม่มีเครื่องประดับหรือทอง มีแต่กระเป๋าสตางค์มีเงินไม่เกิน 3,000 บาท นอกนั้นก็มีบุ๊กแบงก์ บัตรสารพัด และบัตรเครดิต โทรศัพท์มือถือซัมซุงรุ่นเก่ายังอยู่ในกระเป๋ากางเกง”

ช่วงตื่นคุณลุงคะยั้นคะยอให้เธอไปหาหมอ แต่เธอรู้สึกว่าไม่เป็นอะไรมาก เพราะไม่มีเลือดไหลออกมา สักพักมีคุณป้าซึ่งรู้จักกับคุณแม่ของเธอนั่งรถผ่านมาพอดี ก็ชักชวนกันไปหาแม่ที่บ้านก่อน แล้วค่อยเลยไปหาหมอและไปแจ้งความกัน

 

วินาทีที่เจอหน้าคุณแม่ เธอเริ่มรู้สึกเจ็บๆ ชาๆ แต่ยังจำทางไปบ้านได้ พอคุณแม่เห็นเธอตกใจ พูดอะไรไม่ออก แต่คุณแม่มองเห็นเลือดที่เริ่มไหลออกมาจากหู และหยดเลอะเสื้อเป็นรอยแดง แล้วก็ยกพลเพื่อนบ้านพานารีพรไปหาหมอ เหลือคุณแม่วัย 83 ปี เฝ้าบ้านเพราะยังอยู่ในอาการช็อก เธอไปโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด

“ตอนนั่งรถไปหาหมอ ใจยังคิดเราไม่เป็นไรมากหรอก เพราะไม่มีบาดแผลอะไร ซึ่งนั่นแหละคือเรื่องที่น่ากังวลที่สุด แต่พอไปถึงโรงพยาบาลแผนกฉุกเฉิน หมอก็ถามว่าเราเป็นอะไร ก็เล่าเหตุการณ์ให้คุณหมอฟัง คุณหมอเห็นเลือดที่ไหลแล้ว จึงส่งดิฉันไปสแกนสมองทันที”

สแกนสมองพบเลือดคั่ง

ผลสแกนสมอง คือ มีเลือดคั่ง มีเลือดออกข้างในสมอง และไหลออกมาเรื่อยๆ พอออกจากห้องสแกนสมอง เธอเริ่มรู้สึกเวียนศีรษะ อยากจะอาเจียนตลอดเวลา

 

“ตอนนอนอยู่บนเตียง รู้สึกเวียนหัวอยากอาเจียนมาก คุณพยาบาลก็เอาถุงใบใหญ่มาให้ พอกางเปิดปากถุงได้ อ้วกเลย แต่สิ่งที่ออกมามีแต่เลือดเยอะถึงครึ่งถุง เราเริ่มตกใจมาก คุณหมอจึงสั่งสแกนสมองหลังจากครั้งแรก 1 ชั่วโมงต่อมา พบว่ายังมีเลือดไหลอยู่ในเนื้อสมองเพราะสมองตรงฐานกะโหลกเริ่มบวมมากขึ้น คุณหมอบอกว่า เล็กโดนตีจนเนื้อสมองช้ำมากและช้ำเยอะ แต่กะโหลกไม่มีแผลแตกเลย จับก็ไม่เจอแผล แต่เลือดไหล ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการก่อน”

ระหว่างนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องซีซียูนั้น เธอยังรู้สึกอยากอาเจียนตลอดเวลาและรู้สึกปวดหัวบริเวณที่ถูกตี จนต้องเอาถุงมาใกล้ๆ และมีอาการหงุดหงิดเพราะปวดหัว ต้องกินยาแก้ปวดหัวตลอดเวลา และนอนเฉยๆ มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง มีสายออกซิเจนช่วยหายใจ เธอกินอะไรไม่ได้ นอนรอดูอาการอยู่ในโรงพยาบาลแรก 2 วัน วันพุธครอบครัวของเธอจึงตัดสินใจให้ย้ายโรงพยาบาลเพราะค่ารักษาพยาบาลอีกโรงพยาบาลหนึ่งครอบคลุมได้มากกว่า

พอเปลี่ยนโรงพยาบาลมาที่เปาโลสยาม เธอถูกนำไปรักษาในห้องไอซียูต่อ เริ่มรู้สึกตัวบ้าง แต่พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกตกใจเพราะตาขวาเริ่มโปนออกมาและมีสีม่วงคล้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการโดนตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรง จนมีเลือดคั่งในหู ตอนนอนก็ได้ยินเสียงดังหวีดๆ ตลอดเวลา ซึ่งพอมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ เธอได้คุณหมอรุ่งศักดิ์ที่เก่งเรื่องสมองจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทำการรักษา โดยใช้วิธีวิดีโอคอลสอบถามกับนางพยาบาลทุกวัน

“การรักษาของดิฉันทุกอย่าง รักษาผ่านวิดีโอคอล ตรวจอาการผ่านการสแกนฟิล์มเอกซเรย์ผ่านโทรศัพท์มือถือ คุณหมอใส่ใจมากสอบถามนางพยาบาลและคุณหมอที่เปาโลฯ ทุกวัน อาการปวดหัวมันหายไปตอนออกจากไอซียูแล้ว ปวดหัวน้อยลง เริ่มกินข้าวได้ หมอบังคับให้กินข้าวหน่อย แต่มันกินไม่ลง แค่เห็นอาหารก็อ้วกแล้ว ตอนป่วยน้ำหนักหายไป 6 กก. เพราะกินไม่ได้ วันที่คุณหมอมาเจอดิฉันเมื่ออาการดีขึ้น ก่อนออกจากโรงพยาบาล 3-4 วัน หลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนาน 3 สัปดาห์ ได้พูดคุยสอบถามอาการกับคุณหมอ คุณหมอก็เล่าว่าที่ไม่ได้รักษาเล็กด้วยการผ่าตัดเพราะคุณหมอทดสอบแล้วว่าเล็กยังจดจำเรื่องราวต่างๆ และคนรอบข้างได้อยู่ ถ้าเราจำไม่ได้ คุณหมอต้องตัดสินใจผ่าแน่นอน แต่คุณหมอคนอื่นคงสั่งผ่าไปแล้วเพราะเนื้อสมองช้ำมาก และเลือดออกเยอะมากๆ ที่คุณหมอไม่ผ่าเพราะมันเสี่ยงมาก อาจตื่นมาแล้วไม่เหมือนเก่า หรือไม่ตื่นขึ้นมาเลยก็ได้ ซึ่งขณะที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเวลาลุกไปเข้าห้องน้ำต้องเดินเกาะฝาไปเรื่อยๆ ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นผลมาจากการได้รับความกระทบกระเทือนที่สมอง เราจะไม่หายขาด แต่ต้องกินยาและรักษาตัวเองไปเรื่อยๆ”

 

ผลข้างเคียง รู้สึกบ้านเอียงและเวียนหัว

นอกจากมีอาการเดินแล้วรู้สึกเวียนหัวแล้ว เธอยังได้สัมผัสกับผลกระทบอื่นๆ เช่น มีอาการปวดหัว การทรงตัวยังไม่ 100% ขณะกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านยังมีอาการวูบๆ เดินบ้านหมุนอยู่

“ดิฉันต้องกลับมารักษาตัวที่บ้านเพราะคุณหมอบอกว่าอยากให้พัก เพราะคนโดนกระทบกระเทือนสมอง คือการสั่งการของสมองอยู่ที่ก้านสมองทั้งหมด เราโดนตีตรงนี้ก็กระทบตรงอื่นๆ ต้องให้ได้พักเต็มที่ แต่เราก็เกรงใจที่ออฟฟิศ สรุปเล็กนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล 3 อาทิตย์ และมานอนที่บ้านอีก 3 อาทิตย์”

แม้เหตุการณ์จะผ่านมา 2 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันยังส่งผลข้างเคียง คือ เธอรู้สึกเหนื่อย เวียนหัวง่ายและรู้สึกหน้ามืดถ้านอนไม่เพียงพอ ถ้านอนน้อยเธอจะรู้สึกปวดหัว ไม่สดชื่น ชีวิตประจำวันของเธอต้องเปลี่ยนจากที่ทำงานหนัก งานต้องมาเป็นที่หนึ่งก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงในที่เปลี่ยวๆ อีกแล้ว ไม่นอนดึก และยาแก้เวียนหัวกลายเป็นยาประจำตัววันละ 2 เม็ด และมีแนวโน้มว่าเธอต้องกินยาแก้ปวดหัวไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการปวดศีรษะจะหายไป หรือมีอาการที่ดีขึ้น

“เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 2 ปี 4 เดือน แต่เล็กยังต้องไปหาหมอทุกๆ 3 เดือนเพื่อเช็กอาการ ซึ่งสแกนสมองครั้งล่าสุดเนื้อสมองไม่บวมและไม่เหลือเลือดคั่งที่หูแล้ว ก็โอเคแต่กระดูกตรงสันจมูกยุบไปนิดหนึ่งจากแรงกระแทกที่ด้านหลัง ถ้าถามว่าจากเหตุการณ์ครั้งนั้นให้อะไรกับเรา ทำให้เราหวาดกลัวจากที่กล้าเดินเข้าซอยบ้านค่ำๆ ตอนนี้ไม่กล้าแล้ว โดยเราจะนัดวินประจำ มีเบอร์โทรติดต่อกัน พอเล็กลงรถสองแถวตรงเสาก็โทรให้วินซึ่งเป็นผู้หญิงมารับเราเลยเสียเงินเพิ่มเป็น 20 บาท แต่ก็โอเค เพราะเขาก็รู้ว่าเราเคยประสบเหตุอะไรมา เขายินดีมารับส่งเป็นประจำ หรือหากกลับค่ำกว่าปกติแม่ให้นั่งรถแท็กซี่กลับบ้านเลย อย่าประหยัดจนเกินไป เพราะหากเกิดอะไรกับชีวิตเราแล้วไม่คุ้มเลย”

นอกจากการเล็งเห็นการมีชีวิตอยู่ด้วยความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญแล้ว เธอยังเห็นความรักความห่วงใยของคนในครอบครัวมากขึ้น ทั้งจากพี่สาวและพี่ชาย รวมทั้งคุณแม่ที่ทุกเย็นต้องโทรมาเช็กว่า ตอนนี้อยู่ไหน กลับบ้านหรือยัง จะกลับกี่โมง กลับด้วยรถอะไร ให้ไปรับไหม มันเป็นความอบอุ่นใจมากขึ้นจากที่ก็รักสามัคคีกันดีอยู่ในครอบครัวอยู่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งหากมองด้วยแง่ดี คือเธอรู้สึกรักสุขภาพมากขึ้น การมีสุขภาพที่แข็งแรงสำคัญที่สุด

“เหมือนเราได้ผ่านความตายมาแล้ว ทุกเรื่องต่อไปนี้ที่เกิดขึ้นไม่หนักหนาอีกแล้ว ทำให้เล็กมองทุกปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา และอย่าเครียดกับชีวิตมากไป ทุกวันนี้แม้แจ้งความไปแล้วแต่คนร้ายก็ยังลอยนวลและยังไม่มีการมาสอบปากคำจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย ซึ่งหากเล็กเจอกับคนร้ายอีกครั้งหนึ่งจำได้แน่ว่าลักษณะผอมสูง หัวฟู หน้าดำเหมือนคนติดยา ขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ ไม่มีทะเบียน ก็อยากฝากเตือนไปถึงคนอื่นๆ ว่าให้ระมัดระวังตัว อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยมาสอดส่องในซอยเสนานิเวศน์เพราะเป็นซอยที่เปลี่ยวมากๆ เพราะรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ปลอดภัยเลย ซึ่งแม่ของดิฉันขนาดอยู่ในบ้านยังเคยโดนโจรแต่งตัวดีมากมาถามทาง คุณแม่ก็เดินเข้าไปที่ประตูบ้านจะไปฟังใกล้ๆ ปรากฏมันยื่นมือเข้ามาในรั้วจะมากระตุกสร้อยทองที่คอ สร้อยหลุดแล้วแต่ตกอยู่ที่พื้น มันเลยวิ่งหนีไป ขนาดแม่อยู่ในบ้านยังไม่ปลอดภัยเลย มันอันตรายมากสำหรับหมู่บ้านที่มีทางเข้าออกได้หลายทาง เช่น ไปวังหิน ลาดปลาเค้า อมรพันธ์ โชคชัย 4 เสือใหญ่ อีกทั้งหมู่บ้านต้องติดไฟให้ส่องสว่างและติดกล้องวงจรปิดให้มากขึ้นด้วย สายตรวจก็ควรมาตรวจให้เยอะขึ้น ชาวบ้านในละแวกนั้นก็ควรมีน้ำใจต่อกัน ออกมาเมียงมองกันบ้างก็ดีค่ะ”

 

Leave a comment