ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
10 เมษายน 2559 เวลา 11:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/426011

โดย…พริบพันดาว
นักเขียนหญิงในเมืองไทย ส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ในสายที่เขียนนวนิยายบันเทิงประโลมโลกย์เพื่อเป็นพื้นฐานในการผลิตเป็นบทละครโทรทัศน์ ซึ่งเป็นฟันเฟืองร่วมกันของอุตสาหกรรมบันเทิง และมีน้อยนักที่จะมีนักเขียนหญิงเขียนงานวรรณกรรมสายหนักเชิงสร้างสรรค์ทางศิลปะอย่างจริงจัง
ในบรรดานักเขียนหญิงร่วมสมัย คนที่อยู่กึ่งกลางงานของทั้งสองสาย ก็น่าจะมีชื่อของ อุรุดา โควินท์ แม้เธอยังไม่มีงานใหม่ออกมา แต่รวมเรื่องสั้นเล่มที่ 3 ในชีวิตเธอ ที่ชื่อ “มีไว้เพื่อซาบ” ได้นำกลับมาพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์ดินแดนบุ๊ก และบรรจุเรื่องใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 2 เรื่อง คือ มิตรภาพชั่วนิรันดร์ และ เผาผี
“มีไว้เพื่อซาบ พิมพ์ครั้งแรกราว 10 ปีก่อน และ 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มักมีคนถามเราว่าจะซื้อได้ที่ไหน ซึ่งหนังสือไม่มีวางในร้านแล้ว เราเองก็ไม่มี จึงอยากพิมพ์ซ้ำโดยเพิ่มเรื่องสั้นใหม่เข้าไปอีกสองเรื่อง อยากพิมพ์ให้สวยงามน่าเก็บ โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์มากนัก ซึ่งตรงกับความต้องการของสำนักพิมพ์ดินแดนบุ๊กพอดี
“เรื่องสั้นชุดนี้ ส่วนใหญ่เขียนในพรหมคีรี เขียนบนสมุดฉีก ใช้ดินสอเขียน เขียนช้ามาก บางเรื่องเดือนกว่าถึงจะเสร็จ มันเป็นเวลาแห่งการงานที่เราคงหาไม่ได้อีกแล้ว มันจะช้าแค่ไหน เราก็รอได้ และสามารถจดจ่อกับมันโดยไม่เบื่อ เราอยู่พรหมคีรี 4 ปี ได้รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ติดมือมาเล่มเดียว แต่มันก็คุ้มค่ามาก อิ่มเอมมาก”
ในบทความ “มีไว้เพื่อซาบ : ปมแห่งความสัมพันธ์ของมนุษย์” ที่เขียนโดย ชฎารัตน์ สุนทรธรรม อาจารย์สาขาวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ได้สรุปถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ท้ายบทความว่า เรื่องสั้นของอุรุดา ไม่เพียงแต่จะสะท้อนปัญหาความสัมพันธ์ของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังให้ข้อคิดในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับมุมมองของชีวิต พยายามหาแง่มุมที่งดงามของอีกฝ่าย โดยไม่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง…การใช้ความพยายาม อดทน รอคอยและทุ่มเทให้กับการเขียนเรื่องสั้นของอุรุดา โควินทร์ จนได้เรื่องสั้นที่มีคุณภาพ ซึ่งรวมอยู่ในรวมเรื่องสั้น “มีไว้เพื่อซาบ” เล่มนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ความเป็นนักเขียน “คลื่นใหม่” (ที่ไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่) ในวงวรรณกรรมไทยของเธอได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันอุรุดาได้แบ่งเวลาเขียนหนังสือทั้งการเขียนคอลัมน์และงานวรรณกรรมของตัวเองไว้ค่อนข้างรัดกุมในฐานะนักเขียนอาชีพ

“ตอนนี้มี 2 คอลัมน์ซึ่งเป็นนิตยสารรายปักษ์ สรุปง่ายๆ ว่าเดือนละ 4 ชิ้น ซึ่งอยากบอกว่าสบายมาก ถ้ายังไม่มีคอลัมน์ใหม่ ก็จะจัดเวลาให้ตัวเองเขียนเรื่องสั้น คือเราทำงานโดยเขียนตารางงานอย่างชัดเจน 1 เดือนล่วงหน้า ว่าวันไหนจะทำอะไร ใน 1 เดือนเขียนนิยาย 4 ตอน และคอลัมน์ 4 ตอน ยังถือว่าหลวมอยู่ ตอนนี้แบ่งเวลาไปตำน้ำพริกขายได้ หมายถึงว่าเวลายังเหลือนะคะ ยังเขียนได้อีก แต่ที่ตำพริก เพราะอยากลดความกดดันทางเศรษกิจ” เธอเล่าถึงการทำงานเขียนของตัวเอง พร้อมเล่าต่อว่า
“นิยายเขียน 3 วันต่อตอน พอได้ 3 ตอน ก็จะใช้เวลาขัดเกลารวมกันอีก 2 วัน จึงค่อยเก็บไว้ รวมแล้วนิยาย 3 ตอน เราจะใช้เวลาเขียนราว 11 วัน ส่วนคอลัมน์เขียนรวดเดียวจบวันละ 1 ชิ้น แล้วค่อยหาเวลาทำภาพประกอบทีหลัง ซึ่งไม่เคยคิดเรื่องเวลาหรือต้นทุนเลย สนุกที่ได้ทำ เพราะเราทำอาหารจริง และถ่ายรูปใช้เป็นภาพประกอบคอลัมน์ แล้วเราก็กินอาหารนั้น การได้ทำเองทุกเมนูที่เขียน ก็ทำให้เราเขียนถึงอาหารได้อย่างละเอียดขึ้นด้วย”
เมื่อถามถึงวงการวรรณกรรมและนักเขียนร่วมสมัยของไทย อุรุดา บอกว่า น่าตื่นเต้นมาก และหลับตาไม่ได้เลย เพราะจะพลาดเรื่องดีๆ
“เราตัดเรื่องการขาย เรื่องธุรกิจหนังสือออกนะ มาดูแต่เรื่องตัวงานของนักเขียนร่วมสมัย บอกได้เลยว่า บรรยากาศทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้เลย เพราะมันหมายถึงเราอาจจะตาย (จากความเป็นนักเขียน) ได้ทุกเมื่อ เพราะรอบๆ ตัวเรา ล้วนแต่มีเรื่องเล่า และนักเขียนที่น่าตื่นตาตื่นใจ”
ทิ้งท้ายในฐานะนักเขียน อุรุดามองหนังสือเล่มที่เป็นกระดาษกับอีบุ๊กอย่างไร? เธอบอกว่าถึงที่สุดแล้ว มันจะอยู่ได้ทั้งสองแบบ
“เราคิดอย่างนั้น บางเล่มเราก็อยากอ่านอีบุ๊ก แต่บางเล่มเราก็อ่านจากกระดาษ เราว่าหลายคนคงคิดเหมือนเรา อีบุ๊กก็ดี ตรงที่ไม่ต้องเก็บหนังสือ สะดวกต่อการพกพา แต่การเพ่งจอมากๆ ทำให้เราไม่สบายตา และกับหนังสือบางเล่มที่เราอยากอ่านแล้วพลิกกลับไปกลับมา อีบุ๊กก็จะไม่สะดวกเท่ากระดาษไง”