ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
16 เมษายน 2559 เวลา 09:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/426869

โดย…ยินดี ฤตวิรุฬห์
ความรักคือสิ่งมหัศจรรย์ ความรักทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนชีวิตได้ เช่นเดียวกับเรื่องราวที่เกิดกับชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เธอบอกว่า ความรักผลักให้ชีวิตเธอก้าวเข้ามาสู่เส้นทางโลกของการลงทุนในตลาดหุ้น ในทุกวันนี้รักไม่สมหวัง เพราะถูกคนที่รักตอกย้ำเสมอว่า “โง่” สอนไม่จำในเรื่องของการลงทุน
คำว่าโง่นี่เองที่ทำให้เธอฮึดและเก็บมาเป็นแรงผลัก เป็นแรงบันดาลใจว่า หากเธอตั้งใจที่จะทำ เธอก็จะทำได้ดีและสำเร็จ “นิติการณ์ วณิชจินดาภัสร์” หรือเจน “โค้ชหุ้น” ในเกมซุปเปอร์ เทรดเดอร์ ไทยแลนด์ รุ่นที่ 2 ที่นักลงทุนที่เธอเป็นโค้ชให้สามารถคว้าชัยชนะที่ 1 มาครองได้
ด้วยวัย 32 ปี เธอกล่าวว่า ชีวิตเธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น เพราะมันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก และยากมาก ไม่เคยคิดไม่เคยสนใจ ทันทีที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เลือกที่จะทำงานกับบริษัทของครอบครัว ที่คุณพ่อและคุณแม่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีเงินและมีรายได้ประจำ ไม่คิดไม่อยากที่จะเครียดกับการเข้าไปลงทุน และไม่อยากจะเสี่ยง
แต่ชีวิตถึงจุดพลิกผัน เพียงเพราะคำปรามาสจากคนรัก เขาเป็นนักบัญชีและเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นที่มักจะสอนและแนะนำให้ฟังในเรื่องของตลาดหุ้นและการลงทุน แต่ด้วยใจและความคิดที่ไม่สนใจจึงไม่ค่อยฟัง จนถูกคนรักว่า “โง่” คำนี้แรงและเจ็บปวดมาก โมโหมาก จึงบอกกับตัวเองว่าถ้าตั้งใจก็ทำได้ อยากให้เขาหันมามองว่าฉันทำได้ จนวันนี้ผู้ชายที่เคยว่าเธอโง่ก็เดินกลับเข้ามา แต่ไกลเกินไปแล้ว เพราะวันนี้เจนเดินล้ำหน้าเขาไปแล้วกว่าร้อยกิโลเมตร แต่ก็ขอบคุณที่เขาทำให้มีวันนี้
เธอกลายเป็นนักลงทุน เป็นเทรดเดอร์ หรือนักค้าหุ้น แบบเต็มเวลามาประมาณ 5 ปีแล้ว ซึ่งในแต่ละวันการซื้อขายหุ้นของเธอสามารถสร้างรายได้ให้กับพนักงานการตลาด 5 แสนบาท/เดือน หรือในเดือนๆ หนึ่งมูลค่าหุ้นที่เธอซื้อขายจะอยู่ที่ 500-800 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละวันเธอจะมีเงินได้หรือกำไรจากการซื้อขายหุ้นประมาณ 1 ล้านบาท หรือเพียงเวลาแค่ 3 นาที เธอเคยทำกำไรได้ 4 แสนบาท โดยทุกวันนี้พอร์ตหุ้นของเธอขยับขึ้นมาอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท
หนทางการเป็นเทรดเดอร์ของเธอก็ไม่ได้สวยหรู เริ่มแรกของการลงทุนเมื่ออายุประมาณ 27 ปี ที่ขณะนั้นมีเงินทุนตั้งต้นที่ 8 แสนบาท และก่อนที่จะเข้ามาลงทุนก็ได้เริ่มที่จะหาความรู้และไปเรียนด้านการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญหรือกูรูที่สอนเรื่องหุ้น และนำความรู้ที่คิดว่าใช่มาใช้ในการลงทุน
ช่วงแรกของการลงทุน ช่วงที่ยังไม่ค้นพบตัวตนและแนวทางที่ตัวเองถนัดก็ต้องบอกว่า “ขาดทุน” จากเงิน 8 แสนบาท เหลือ 4-5 หมื่นบาท หรือพอร์ตติดลบไป 88% ในช่วงเวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้น การลงทุนช่วงนั้นบอกเลยว่า มั่วสุดๆ ซื้อหุ้นสะเปะสะปะ และไม่รู้จักคำว่า ตัดขาดทุน เมื่อเห็นราคาหุ้นที่ตัวเองซื้อปรับตัวลดลงก็ซื้อถัวไปเรื่อยๆ และก็ทนไม่ได้จึงตัดใจขายในช่วงที่ราคาต่ำมากๆ และไม่รู้จักรักษาเงินต้นไว้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะหากตัดขาดทุนไม่เป็น หายนะแน่นอน นี่คือบทเรียนสำคัญที่เธอได้จากการเป็นนักลงทุนเต็มตัว และขาดทุนอย่างหนักในช่วงแรกของการเริ่มต้น
เมื่อการลงทุนครั้งแรกย่อยยับ ความอยากเอาชนะ อยากเอาคืน ก็ยังคงอยู่ และเมื่อเงินน้อยลง เธอก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาเงินกลับมาลงทุนอีก ซึ่งในช่วงผิดหวังนั้น เธอทำงานทั้งการเป็นพนักงานร้านเซเว่นอีเลฟเว่น การเป็นพนักงานปั๊มน้ำมัน เธอทำมาหมดแล้วเพื่อที่จะหาเงินกลับมาลงทุนอีก ซึ่งการกลับมาเป็นนักลงทุนในรอบที่ 2 นั้นเธอเริ่มต้นพอร์ตด้วยเงิน 2.5 แสนบาท และไม่ได้ซื้อขายหุ้นเต็มเวลา

แต่ขณะนั้นเธอทำงานเป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่งด้วย โดยรับผิดชอบในเรื่องของการซื้อขายกองทุน ซึ่งเธอก็นำประสบการณ์จากการเรียนรู้เรื่องการลงทุน การเป็นนักลงทุน เข้าไปสมัครและทำงานที่แห่งนี้ ซึ่งระหว่างทำงานเธอก็เทรดหุ้นพอร์ตของตัวเองไปด้วย
วันหนึ่งหัวหน้างานเจอว่าเธอซื้อขายหุ้นตัวเองไปด้วยเลยพูดว่า เธอน่าจะออกไปซื้อขายหุ้นเต็มตัวไปเลยนะ ทำให้เธอตัดสินใจลาออกทันทีในวันรุ่งขึ้น และกลายเป็นนักลงทุนและนักค้าหุ้นเต็มเวลา การกลับมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวในรอบที่ 2 จากเงินเริ่มต้น 2.5 แสนบาท ในช่วงเวลา 3 ปี เงินในพอร์ตของเธอเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท และแม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาหุ้นไม่ดี แต่เธอก็ยังมีกำไรและพอร์ตหุ้นยังเติบโตต่อเนื่อง
“เราต้องเรียนรู้ ต้องเข้าใจตัวเอง เจนเป็นนักค้าหุ้นที่ไร้ใจ เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นมันเป็นเกมที่เล่นกับจิตใจของคน เป็นจิตวิทยาที่เล่นบนความโลภของคน อยู่ที่ว่าจะโลภมากโลภน้อย ถ้าโลภน้อยก็มีได้ แต่ถ้าโลภมาก ก็จะมีคำว่า ‘รู้งี้’ เกิดขึ้นเสมอ ซึ่งในส่วนของตัวเองนั้นมีเป้าหมายและมีความพอไม่สนใจถ้าหากหุ้นที่เข้าไปลงทุนราคาได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็จะขายทันที จะไม่รอ”
ไวไว เทรดเดอร์
พอร์ตหุ้นที่เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้นั้น เธอบอกว่า ด้วยสไตล์การลงทุนของเธอชอบหุ้นเก็งกำไร และการที่มีเงินทุนน้อย การเล่นหุ้นเก็งกำไรจะเป็นหนทางที่จะทำให้พอร์ตโตได้ ส่วนหุ้นพื้นฐานจะเหมาะกับมีเงินมาก และพอร์ตหุ้นที่จะเติบโตได้เราจะต้องมีหุ้นที่เป็นบิ๊กช็อต หรือหุ้นที่สร้างอภินิหารให้กับพอร์ตได้ ซึ่งหุ้นที่สร้างผลกำไรและทำให้พอร์ตการลงทุนเติบโตมากคือ TSF และ SLC ซึ่ง 2 ตัวนี้สร้างโอกาสให้อย่างมาก เพราะเมื่อได้ยินในตลาดว่าจะมีการเล่นหุ้นตัวนี้ เธอเองก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปดู เพราะด้วยสไตล์การลงทุน ที่เธอชอบมากกับหุ้นเก็งกำไร
แต่การเข้าไปลงทุนไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินมาแล้วกระโจนลงไป แต่จะทำการบ้านก่อนที่จะลงทุน คือ การดูแท่งเทียนและดูว่ามูลค่าการซื้อขายสนับสนุนหรือไม่ ซึ่งถ้าดูแล้วบ่งชี้ว่าใช่ เธอก็จะเข้าไป และเมื่อเข้าไปเธอก็จะมีระดับความพอใจว่าแค่ไหนถึงจะพอ ซึ่งกรณี SLC พูดถึงกันว่าจะไป 5 บาท แต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะ 3 บาทกว่าๆ อย่างที่เธอคำนวณระดับกำไรที่พอใจก็ออกมา ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่เธอตัดสินใจอย่างนั้น เพราะหลังจากนั้น SLC คือหุ้นที่ทำให้คนเสียหายและติดดอยเป็นจำนวนมาก
“นิติการณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งสาวสวยผู้มากฝีมือด้านการลงทุน เป็นนักลงทุนมืออาชีพคนรุ่นใหม่ ฝีมือระดับที่หาตัวจับยากด้วยสไตล์การลงทุนเฉพาะตัว เน้นเล่นไม้สั้นฉับไว รวดเร็วจึงถูกโฉลกกับหุ้นซิ่ง หรือหุ้นมีเจ้ามือ จนถูกเรียกขานว่า ไวไว เทรดเดอร์ (Vi Vi Trader) “
ทุกวันนี้ นิติการณ์ ไม่ได้หลงใหลเฉพาะหุ้นเก็งกำไรเท่านั้น แต่เธอจะลงทุนทั้งใน Warrant, Derivative Warrants (DW) ซึ่งเฉพาะอย่างยิ่ง DW ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญในยามที่ตลาดหุ้นผันผวน ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะไม่ดี เพราะถ้าหากเราสามารถคาดการณ์ตลาดไว้ว่าจะไปในทิศทางไหนก็เลือกลงทุนในฝั่งที่จะสนองตอบหุ้นในทิศทางขาลงได้ แต่สำคัญคือจะต้องเข้าใจภาพทั้งเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นโลก และทุกอย่างจะต้องถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลและวิเคราะห์ให้ขาด เพราะไม่อย่างนั้นก็จะขาดทุนได้ และ DW คือส่วนสำคัญมากที่ทำให้พอร์ตการลงทุนของเธองอกเงยและงดงามในยามที่ตลาดหุ้นสวิง!!
กระจายความเสี่ยง
นิติการณ์ บอกว่าเงินกำไรที่ได้รับจากการลงทุนในตลาดหุ้นเธอก็จะนำไปต่อยอดด้วยการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการนำเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นนอกตลาดหรือเข้าไปลงทุนหุ้นที่เตรียมความพร้อมที่จะเข้าตลาดหุ้น แต่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างทุนก่อน ซึ่งขณะนี้ก็ไปลงทุนในบริษัทพลังงานทางเลือก 1 บริษัท และบริษัทที่ทำเกี่ยวกับปิโตรเคมี 1 บริษัท ซึ่งมีแผนจะเข้าตลาดหุ้นในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งประเมินว่าการลงทุนในรูปแบบนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ และยังคงให้ความสนใจศึกษาลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ นาฬิกา และพระเครื่อง เพื่อเป็นการกระจายพอร์ต ลดระดับความเสี่ยงที่อยู่ในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้น มักเลือกคอนโดแนวติดรถไฟฟ้า เพื่อเก็งกำไรขายและปล่อยเช่า ทองคำซื้อสะสมทุกเดือน คอนโดของบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP ส่วนนาฬิกาเลือกรุ่นที่เป็นที่นิยมในตลาด เช่น ปาเต็ก โรเล็กซ์ Lange และ Pannarai ในการสะสม ส่วนพระเครื่อง เน้นหลวงปู่ทวด และหลวงพ่อเงิน โดยเทรดเดอร์สาวสามารถส่องพระเครื่องได้อย่างชำนาญ ซึ่งความรู้ด้านนี้ถูกปลูกฝังมาจากครอบครัว
โค้ชด้านการลงทุน
เมื่อรู้สึกว่ามีความอิ่มตัวและมีความชำนาญในเรื่องของการลงทุนได้ พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับนักลงทุนที่สนใจ เธอจึงได้ริเริ่มในการเข้าไปเป็นโค้ช ซึ่งล่าสุดเธอเป็นโค้ชในโครงการที่ 2 ของโครงการ ซุปเปอร์ เทรดเดอร์ ไทยแลนด์
ผลของการแข่งขันนั้น ผู้ที่เธอโค้ชให้ชนะเลิศที่ 1 และได้รับรางวัล 1 ล้านบาท จากโครงการ และเธอออกเงินส่วนตัวของเธออีก 5 แสนบาท ให้กับน้องผู้ชนะ ซึ่งในหลักการของการสอนนั้น เธอบอกว่าไม่มีอะไรมาก แค่เธอแชร์ประสบการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอ และเป็นบทเรียนที่ดีมาสอนนั่นเอง ซึ่งเรื่องหนึ่งที่หนีไม่พ้นคือจะต้องรู้จักตัดขาดทุนนั่นเอง และดูว่าน้องที่เธอสอนให้นั้นมีข้อไหนบกพร่อง แล้วจึงสอนเพื่อที่จะปิดช่องโหว่ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่จะไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนตัวตนของคนคนนั้น เพราะเธอเชื่อว่าทุกคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง อยู่ที่ว่าจริตแบบไหนที่จะเหมาะสมเท่านั้น
เดิมนั้นตั้งใจว่าเมื่อพอร์ตหุ้นแตะหลัก 10 ล้านบาท ก็จะหยุด แต่เมื่อพอร์ตขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ยังคงลงทุนต่อไป จนถึงตอนนี้ขึ้นมา 400-500 ล้านบาท และคาดหวังว่าอีก 2 ปี เมื่อพอร์ตแตะ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นก็จะมาดูอีกทีว่าชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร และทุกวันนี้มีพอร์ตกับ 7 บริษัทหลักทรัพย์ แต่หลักๆ จะซื้อขายอยู่กับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย และด้วยสไตล์การลงทุนที่ชอบหุ้นเก็งกำไรก็ไม่ได้หวังกับการกำกับดูแลของทางการ เพราะเธอเล่นหุ้นด้วยตัวเอง โดยเอาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ต่อ แต่จะไม่เข้ากลุ่มไปเล่นกับใครหรืออยู่ก๊วนใคร เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนหนักและโหดมากเวลาซื้อขาย เพราะจะไร้ใจ ซึ่งการมีใจการไว้ใจทำให้เธอเจ็บปวดมาแล้ว เพียงแค่ 1 วัน เธอเคยขาดทุนหนักสุดถึง 16 ล้านบาท นั่นหมายถึงเธอสามารถซื้อรถมินิได้หลายคันก็เพราะความไว้ใจและเชื่อใจนั่นเอง
แค่มือถือเพียงเครื่องเดียวก็ทำให้เธอสามารถซื้อขายหุ้นได้ทุกๆ ที่
ชีวิตนักลงทุน มีอิสระเช่นนี้นี่เอง!!!
ดนุภพ แสงชูวงศ์ วัย 28 ปี ผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 1 กับโครงการซุปเปอร์ เทรดเดอร์ ไทยแลนด์ ครั้งที่ 2 ที่ได้รับเงินรางวัล 1 ล้านบาท กล่าวว่า ชอบที่พี่เจนเป็นโค้ชให้ เพราะพี่เจนไม่พยายามเข้ามาเปลี่ยนตัวตนหรือแนวทางของเรา เพียงแต่เข้ามาดูและสอนว่าเรายังขาดอะไรก็มาช่วยเติมเต็มให้ ผลจากการโค้ชทำให้เขาชนะและจะนำเงินที่ได้ครั้งนี้มาลงทุนต่อ และส่วนหนึ่งก็จะไปแต่งงาน ซึ่งทุกวันนี้พอร์ตหุ้นที่เล่นมีอยู่ 5 แสนบาท ซึ่งชอบในเรื่องของการลงทุนและลงทุนมา 5-6 ปีแล้ว ควบคู่กับการทำงานไปด้วย ซึ่งสำหรับเขาแล้วหุ้นที่เป็นบิ๊กช็อตคือ บัตรกรุงไทย (KTC) เพราะสามารถสร้างผลกำไรให้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งในการซื้อหุ้น KTC เพราะมองว่าคนนิยมใช้บัตรเครดิตและยังมีฐานที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อทุกคนจบและทำงานก็มีบัตรเครดิตกันทุกๆ คน จึงเชื่อว่ายังเป็นธุรกิจที่ไปได้ ซึ่งครั้งนั้นลงทุนในช่วงที่หุ้น 30 บาทกว่าๆ และมาขายตอน 80 บาทกว่า แต่ด้วยเงินไม่มากจึงไม่ได้หนุนให้พอร์ตโตมากนัก