รู้เท่าทันโซเชียลฯ ท่องโลกเสมือนอย่างมีความสุข

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 เมษายน 2559 เวลา 10:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/428341

รู้เท่าทันโซเชียลฯ ท่องโลกเสมือนอย่างมีความสุข

โดย…เพรงเทพ

พวกโซเชียลฯ เป็นคำเรียกที่ออกไปในน้ำเสียงกลางๆ ไม่เหยียดหรือชื่นชม ในการจัดหมวดหมู่ของผู้คนแห่งยุคสมัย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ใช้งานสังคมออนไลน์ของอินเทอร์เน็ตในอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเสพติดอย่างบ้าคลั่งจนถอนตัวไม่ขึ้น

ว่าไปแล้ว โซเชียลมีเดีย หมายถึงสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเล่าเนื้อหาเรื่องราว ประสบการณ์บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนหรือทําขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนํามาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ให้บริการบนโลกออนไลน์ ปัจจุบันการสื่อสารแบบนี้จะทําผ่านทางอินเทอร์เน็ต แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียสามารถขยายความครอบคลุมไปถึงสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต พูดง่ายๆ ก็คือเว็บไซต์ที่บุคคลบนโลกนี้สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้นั่นเอง หากในบริบทของโซเชียลมีเดีย โซเชียลหมายถึงการแบ่งปันในสังคม ซึ่งอาจจะเป็นการแบ่งปันเนื้อหาผ่านไฟล์ รสนิยม ความเห็น หรือปฏิสัมพันธ์ในสังคม ซึ่งเกิดจากการรวมกันเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้นโซเชียลมีเดีย คือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้ผู้ใช้แสดงความเป็นตัวตนของตนเองเพื่อที่จะมีปฏิสัมพันธ์หรือแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลอื่น

แน่นอน ในโลกเสมือนจริงเหล่านี้ย่อมมีกฎ กติกา มารยาท และมีตัวบทกฎหมายคุมอยู่ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในการเสวนาหัวข้อ “เสพ Social แบบ Chic Chic … ตั้งสติให้ Strong” ซึ่งจัดโดยนักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารสื่อสารมวลชน คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการพูดคุยผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดียในอาชีพต่างๆ คือ ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักกฎหมายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ และนเรศ ติยะวัฒน์วิทยา แอดมินเพจกูหิว มีมุมมองดีๆ เกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียอย่างรอบคอบและมีสติ

 

คุณกำลังแก้ผ้าในห้องนอนที่มีกระจกใสรอบด้าน

การที่ผู้คนสามารถกำหนดความคิดเห็นสาธารณะอย่างเท่าเทียมกันได้ ทำให้คนยุคใหม่ชื่นชอบและต่างแสดงตัวตนด้วยสื่อในแบบของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดียกันอย่างสนุกสนานและถือเป็นกิจปกติในชีวิตประจำวัน ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน เล่าให้ฟังถึงแนวคิด “5 ป” ของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ว่าการที่ผู้คนอยู่ในโลกที่มีความเป็นส่วนตัวสามารถสร้างโลกใหม่ได้อย่างไร? โดยธามชี้ว่า มาร์กค่อนข้างเชื่อในหลักการดังต่อไปนี้มากๆ คือ เปิดเผย/โปร่งใส/แบ่งปัน/เปลี่ยนแปลง/ประชาธิปไตย

“เรากำลังอยู่ในยุคสงครามข้อมูล ซึ่งมีอยู่ 3 อย่าง หนึ่งคือ ข้อมูลเท็จ สองคือ ข่าวลือ และสามคือ โฆษณาชวนเชื่อ คนที่พูดประโยคนี้คือ จูเลียส ซีซาร์ ซึ่งบอกว่า ก่อนที่ผมจะไปรบ ผมสู้กับ 3 อย่างนี้ก่อน เพราะว่านี่คือสมรภูมิข้อมูลสงครามที่มีผลต่อการโน้มน้าวใจคนอื่นหรือการหาพวก โซเชียลมีเดียหรือออนไลน์จะมีกับดักของเรื่องความเร็ว เวลาเจอเพจปลอม สิ่งที่เราควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรารู้เท่าทันความปลอมนี้หรือเปล่า ทุกๆ ครั้งที่อยู่หน้าจอ นิ้ว 5 นิ้วที่สัมผัสหน้าจอคืออุปกรณ์รบในสมรภูมิข่าวสารหรือโลกดิจิทัลในทุกวันนี้

“หนึ่ง-ความเปิดเผย โลกที่ทุกคนเปิดเผยตัวตนเพื่อความโปร่งใส สอง-โปร่งใส เชื่อในการสร้างความโปร่งใสของสังคมเสมือนจริง สาม-แบ่งปัน เข้าไปอยู่ในสังคมเศรษฐกิจระบบแบ่งปัน ระบบสังคมปัญญารวมหมู่ สี่-เปลี่ยนแปลง เขาเชื่อในความเปลี่ยนแปลง เป็นกลาง โซเชียลมีเดียมีความเป็นกลางให้กับทุกคน เสมอภาค ทุกคนสามารถเข้าถึงเฟซบุ๊กได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก และห้า-ประชาธิปไตย ความเสมอภาคของสื่อสังคมจะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย คุณมีตัวตนเดียวในชีวิต ถ้าหากมีหลายตัวตนแสดงว่าไม่มีความซื่อสัตย์ในสังคมเสมือนจริง ทุกวันนี้เราโฆษณาชวนเชื่อในสังคมออนไลน์และโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น”

ในสื่อสังคม ธามฝันว่า คงดีถ้าทุกๆ เรื่องสามารถตรวจสอบได้ ทุกๆ คนจะหวาดกลัวที่จะกระทำผิด ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร ทุกอย่างถูกนำมาแสดงบนเฟซบุ๊กหมด

“กับดักลวงที่สุดของโซเชียลมีเดียคือกับดักของความใกล้ชิด เราใกล้ใครชอบใครเราก็จะเชื่อคนนั้นและจะเชื่อในสิ่งที่เขาแชร์มา คนยุคนี้กลายเป็นเหยื่อของความเร็ว มักง่ายและไม่ค่อยตรวจสอบ กลายเป็นพวกโฟโม (Fear of Missing Out) เรากลัวตกข่าว ต้องรีบแชร์รออะไรไม่ได้ มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก บอกว่าถ้าคุณอยากใช้เฟซบุ๊ก คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณโพสต์ ถ้าคุณไม่ใช่ตัวคุณอย่ามาเล่น นี่คือจุดที่แตกต่างระหว่างเฟซบุ๊กกับเครือข่ายสังคมอื่นๆ ต้องใช้ชื่อจริง

“สิ่งที่สำคัญในโลกอินเทอร์เน็ตคือเราทุกคนต้องการการยอมรับจากสังคม ทุกวันนี้ผู้คนใช้ชีวิตกับการแชร์ประสบการณ์ ผู้คนไม่มีความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิต แต่ว่าต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ คนทุกวันนี้รู้จักโลกผ่านประสบการณ์เทียมจากสื่อ เพื่อไม่ให้พลาดจากประสบการณ์จริง ข้อมูลข่าวสารที่อยู่หน้าจอ โลกทั้งใบอยู่ในมือถือ ส่วนคนรุ่นก่อนมีประสบการณ์จากของจริงที่ได้ประสบด้วยตัวเอง ปัจจุบันโลกเราแคบเพราะใช้มือถือ หน้าจอสี่นิ้วเราเห็นแค่หน้าตัวเราเอง ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญเวลาพูดถึงชนชั้นนำ บางครั้งเราก็อยากเป็นเซเลบ ทุกคนต้องการเป็นคนมีชื่อเสียง อินเทอร์เน็ตทำให้เราเท่าเทียมกัน เป็นสิ่งที่อยู่ในมือเรา”

ธาม มองว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่มักชอบคิดว่าเฟซบุ๊กเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นที่ระบายความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง สามารถแสดงตัวตนออกมาได้หมดเปลือกทั้งด้านสว่าง กลางๆ และด้านมืด

“การใช้โซเชียลมีเดียแบบสตรองไม่ใช่แชร์เร็วไลค์เร็ว อย่างนี้เขาเรียกไม่มีสติ ถ้ามีสติต้องดูการตั้งค่าข้อมูลไพรเวซี่หรือความเป็นส่วนตัว ซึ่งมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก กังวลใจกับเรื่องนี้มาก ในสหรัฐอเมริกากฎนี้แข็งแรงมาก หากอายุไม่ถึง 13 ปี ห้ามใช้โซเชียลมีเดียใดๆ ทั้งสิ้น เมืองไทยเป็นอย่างไร? เด็กไทยโกงอายุ ซึ่งเด็กไทยเก่งมากที่ใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์สักเท่าไหร่ คุณคงไม่โพสต์ถ้าคิดว่าห้องส่วนตัวที่อยู่เป็นห้องนอน แต่ไม่รู้เลยว่าห้องนอนที่อยู่นั้นเป็นกระจกใสมองทะลุได้ทุกด้าน คำถามคือคุณจะแก้ผ้าให้คนทั้งโลกดูไหม โซเชียลมีเดียคือสื่อพื้นที่สาธารณะ ใครที่คิดว่าเป็นโซนปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ คำตอบคือไม่ใช่ เพราะฉะนั้นจำเป็นมากๆ ที่ควรคิดก่อนโพสต์และใช้โซเชียลมีเดียอย่างเหมือนกับใช้ชีวิตจริงๆ ในสังคมของคุณ

 

“การว่าผู้อื่นโดยไม่ระบุชื่อมักส่งผลในทางลบมากเลย คนทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดและรู้จักเขาจะร้อนตัวและคิดว่าเป็นการต่อว่าเขา ในอินเทอร์เน็ตจะมีสภาวะหลอกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ต้องไปเจอกันแบบตรงๆ เอาชนะกันเชิงพื้นที่ได้ เพราะไม่เจอกันเวลาโพสต์ก็มักจะใช้คำที่รุนแรงมากกว่าปกติ เพราะถ้าเห็นหน้าค่าตากันก็จะเห็นสีหน้าค่าตาอารมณ์ความรู้สึกของเขา ก็เลยมักเกรงใจ แต่พออยู่ในโลกออนไลน์จะเป็นคนก้าวร้าวมาก มิติเชิงเวลาในอินเทอร์เน็ตคำด่าคำประณามจะอยู่ในนั้นตลอด เวลาอยู่ในโลกออนไลน์เราก็ควรมีมารยาททางสังคมเช่นกัน อินเทอร์เน็ตคือการจำลองสังคม ไม่ใช่โลกอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีผลกระทบในโลกจริง เป็นโลกที่ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตจริง เด็กวัยรุ่นที่ชอบถ่ายรูปแนววาบหวามเพื่อเรียกไลค์เรียกเรตติ้ง ต่อไปเวลาไปทำงานประวัติพวกนี้จะเจาะสืบค้นได้หมดเลย”

ใช้โซเชียลฯ อย่างฉลาดเท่าทันกฎหมายควบคุม

ในโซเชียลมีเดียมีการนำเสนอเนื้อหาเป็นสองส่วนคือ สิ่งที่เป็นข้อมูลหรือข้อเท็จจริง และความคิดเห็น ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ขยายความให้เห็นว่า การกดไลค์ไม่ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่การกดแชร์มีสิ่งที่น่ากังวลก็คือว่าก่อนจะแชร์เราต้องเช็กก่อนว่าข่าวนั้นมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน?

“ตามกฎหมายจะบอกว่าเราผิดเมื่อรู้ว่าข้อมูลนั้นเป็นเท็จ วิธีการที่จะพิสูจน์ว่าเราไม่รู้ว่าเป็นเท็จ นี่เป็นยันต์กันผีบอกไว้เลยว่าถ้าทำตามนี้จะรอดพ้นความผิดจากกฎหมาย 3 ฉบับ รอดพ้นจากกฎหมายลิขสิทธิ์ในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ รอดพ้นจาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จ รอดพ้นจากกฎหมายหมิ่นประมาท สิ่งที่เราต้องทำคือ อ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้ง เพราะการอ้างอิงในกฎหมายลิขสิทธิ์ จะเป็นข้อยกเว้นในการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งกฎหมายจะยกเว้นให้เราเพราะเราไม่ทราบ แต่สิ่งที่ทุกคนชอบทำคือไม่อ้างแหล่งที่มาหรือบางทีก็เติมเพิ่มเสริมแต่งเข้าไป ซึ่งอย่าทำอย่างเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงทางกฎหมาย สิ่งพวกนี้เป็นจริยธรรมที่พัฒนาไปเป็นกฎหมาย การอ้างแหล่งที่มาในฐานะสื่อสารมวลชนหรือคนทั่วไป ซึ่งบางคนหนักถึงขั้นใส่ลายน้ำเป็นของตัวเองไปเลย”

 

สำหรับการแชร์ข่าวลวง ข่าวลือ ข่าวเท็จ หรือข่าวจากเพจปลอม ไพบูลย์มองว่ามีวิธีป้องกันและแก้ไขหากใส่ใจและรอบคอบ

“ในด้านว่าเป็นข่าวเท็จหรือไม่? โดยส่วนตัวผมแล้ว มันมีการดูได้หลายๆ อย่าง การเช็กจากแหล่งข่าวว่ามีความน่าเชื่อถือขนาดไหน ถ้าเป็นไลน์ส่งมาจะไม่แชร์โดยเด็ดขาด เพราะก่อให้เกิดปัญหาพอสมควร ในทางด้านกฎหมายมีทางออกของเราในมุมนี้ ให้อ้างอิงถึงแหล่งที่มาก็จะช่วยได้ โดยเฉพาะในเรื่องของเจตนา ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จะมีปัญหา หมายความว่าเราไปคอมเมนต์หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคนอื่นไม่ได้เลยหรือเปล่า การแสดงความคิดเห็นถึงอาหารไม่อร่อย หนังไม่ดี ดนตรีไม่เพราะ เป็นสิทธิตามกฎหมาย ซึ่งไม่ได้ห้ามไว้ แต่ถ้อยคำหยาบคายที่พูดโดยไม่มีหลักการหรือการใส่ความก็จะมีปัญหาเรื่องหมิ่นประมาท อย่างร้านนี้อาหารไม่อร่อย สงสัยอาจจะมีแมลงสาบ อย่างนี้ไม่ได้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง เวลาคอมเมนต์ก็ควรระวังเพราะจะติดตัวเองไปด้วย และมีปัญหาอยู่ตลอด สังคมโซเชียลมีเดียสอนเราว่าต้องละเอียดรอบคอบมากขึ้น ซึ่งต้องระมัดระวังเพจปลอม เว็บปลอม”

สำหรับกรณีของไวรัลหรือคลิปยอดนิยมที่แชร์กันอย่างมากมายในโซเชียลมีเดีย ไพบูลย์ชี้ว่า

“ถ้าเป็นตัวภาพจะเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ ทุกครั้งที่มีการอัพโหลดตัวภาพขึ้นบนอินเทอร์เน็ตให้ใช้เพื่อความบันเทิงส่วนตัว ไม่เสื่อมเสียกับตัวเจ้าของผลงาน ซึ่งบุคคลธรรมดาสามารถทำได้ แต่ถ้าไปเปลี่ยนโดยใส่โปรดักต์หรือสินค้าของตัวเองเข้าไป หรือไปพาดพิงบุคคลอื่นก็จะผิดในส่วนของการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน นอกจากภาพที่เป็นไวรัลแล้ว ที่น่าสนใจคือพวกคำสั้นๆ ที่เป็นสโลแกนจะไม่มีลิขสิทธิ์ อย่าง Keep Waking สามารถนำมาใช้ได้ เพราะกฎหมายไทยไม่คุ้มครองคำที่เป็นสโลแกนพวกนี้ แต่กรณีที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างชื่อหนังคำว่า ฟรีแลนซ์ ก็ต้องไปจดเป็นเครื่องหมายการค้า ซึ่งจะมีลิขสิทธิ์คุ้มครอง ซึ่งจะเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า ในเชิงมาร์เก็ตติ้งจะมีการคุ้มครอง อย่างเช่นชื่อเพลงก็จะไม่มีลิขสิทธิ์ ต้องไปจดชื่อเพลงเป็นเครื่องหมายการค้า”

สิ่งที่น่ากลัวของไวรัล ไพบูลย์บอกว่าคลิปที่ยิงเป็นไวรัล มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งบางทีสื่อถึงค่านิยมที่ผิดๆ ของสังคมเข้าไปในตัวไวรัล เพียงเพราะต้องการให้มันฮิตให้มันดัง

“ไวรัลบางคลิปมีจุดเชื่อมที่เป็นเรื่องของศีลธรรมอยู่ ในเชิงที่สื่อนำมานำเสนอ ตรงนั้นมีผิดกฎหมายอยู่หลายตัว ไวรัล มาร์เก็ตติ้ง ที่เป็นคลิปมันทำให้เด็กและเยาวชนเข้าใจว่าวิธีการแบบนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้อง ไวรัลในทางกฎหมายก็ต้องดูด้วย ซึ่งสมาคมโฆษณาเขาก็มีเรื่องกฎ กติกา และมารยาทอยู่เหมือนกัน บางทีแนวความคิดเดิมไม่มีอะไรเลย แต่ความคิดเห็นหรือคอมเมนต์ไปอีกทางหนึ่ง ทำให้มีปัญหาเวลาเกิดคอมเมนต์ ในฐานะเจ้าของเฟซบุ๊กแต่ละคนมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องตรวจสอบ เพราะถ้ามีข้อมูลที่ผิดกฎหมายต้องลบออก ไม่งั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย เพราะตอนนี้คดีที่ฟ้องเกี่ยวกับแบบนี้มีเยอะมากเป็นหมื่นคดี ต้องระมัดระวังให้มาก ส่วนเรื่องแฮ็กอินสตาแกรมดาราเกิดจากพวกมัลแวร์ที่มากับคลิปต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่างๆ ของเราไป ส่วนคลิปที่ส่งผ่านไลน์ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และอย่ารับแอดเฟรนด์คนแปลกหน้าในเฟซบุ๊ก เขาจะเข้ามาเอาข้อมูลและแฮ็กเฟซบุ๊กของเรา”

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านโซเชียลมีเดียและกฎหมายน่าจะเป็นคู่มือและเข็มทิศในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติและรอบคอบ เพื่อให้เกิดความสตรองในโลกจริงได้ไม่มากก็น้อย”

 

Leave a comment