ชลวุฒิ วัชรอยู่ นายแบงก์เออีซี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2559 เวลา 09:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/431909

ชลวุฒิ วัชรอยู่ นายแบงก์เออีซี

โดย…นันทิยา วรเพชรายุทธ

ความเนื้อหอมของกลุ่มประเทศอาเซียนในด้านการค้าและการลงทุนที่มีมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ ยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้นภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2559 ที่เพิ่มความน่าดึงดูดอย่างไร้พรมแดนให้กับ 10 ชาติอาเซียน

ในฐานะนายแบงก์ที่คร่ำหวอดกับอาเซียนมากว่าสิบปี “ชลวุฒิ วัชรอยู่” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษาการลงทุนระหว่างประเทศ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้บริหารคนแรกของประเทศไทยนับตั้งแต่มีการก่อตั้งฝ่ายการให้คำแนะนำด้านการลงทุน หรือ FDI Advisory Unit ขึ้นเป็นครั้งแรกในสิงคโปร์ เมื่อปี 2554 มองว่า อาเซียนในยุคประชาคมเศรษฐกิจเออีซี ยังมีโอกาสอีกมากในระยะยาว

ความเชื่อมั่นจากปากของนายแบงก์ที่มีประสบการณ์ทั้งในไทยและต่างประเทศรายนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาพสะท้อนของผลการดำเนินงานในหน่วย FDI Advisory Unit ที่มีอัตราการเติบโตมากกว่า 100% ทุกปี ในตลอด 3 ปี ของการก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นในประเทศไทย

ชลวุฒิ เล่าว่า หน่วยงานดังกล่าวก่อตั้งขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี 2011 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคารยูโอบี เพื่อรองรับการทำธุรกิจของกลุ่มประเทศในเอเชียและโดยเฉพาะในอาเซียนแบบครบวงจรในจุดเดียว โดยจะให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการทุนในแต่ละประเทศตั้งแต่ความเสี่ยงในการจัดตั้งโลเกชั่น สภาพสังคม ตลอดจนระเบียบข้อกฎหมาย ใบอนุญาต โดยมีจุดเด่นนอกจากวันสต็อปเซอร์วิสแล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วเอเชีย ทำให้การบริการลูกค้าที่ต้องการลงทุนข้ามพรมแดนไม่สะดุด

 

“สัดส่วนของลูกค้าขยายตัวต่อเนื่องทุกปีมากกว่า 100% ติดต่อกันตลอด 3 ปีที่เปิดตัวมา ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนขนาดกลางขึ้นไป โดยมีทั้งต่างชาติที่เข้ามาไทยและนักลงทุนไทยที่ต้องการขยายโอกาสไปลงทุนเพิ่มในประเทศเพื่อนบ้านในสัดส่วนเฉลี่ยใกล้เคียงกัน เช่น ไปลงทุนผลิตในอินโดนีเซียที่มีพื้นฐานประชากรเยอะ และเจาะตลาดผู้บริโภคในประเทศ” ชลวุฒิ กล่าว

ก่อนที่จะก้าวสู่การเป็นนายแบงก์เออีซีในวันนี้ ซึ่งเจ้าตัวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ทำงานในสายการเงินการธนาคาร ชลวุฒิ เล่าว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง การเปิดสาขาย่อยของธนาคารในห้างสรรพสินค้า ระหว่างที่ศึกษาต่อคณะบริหารธุรกิจและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาคอินเตอร์ ซึ่งทำให้ได้ไปคลุกคลีกับธนาคารกรุงเทพ แหล่งวิจัยสำคัญของธีซิสชิ้นนี้ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าทำงานธนาคารตามมา

ชลวุฒิ เริ่มเข้าทำงานในฝ่ายสินเชื่อรายใหญ่ประจำสำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ที่เน้นการดูแลลูกค้าต่างประเทศเป็นหลัก โดยดูแลด้านนี้ประมาณ 4-5 ปี ก่อนที่จะได้เปิดมุมมองของโลกและการทำงานที่กว้างขึ้นกว่าเดิมกับการไปประจำที่สาขานิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 1 ปีซึ่งทำให้ได้นำมุมมองสไตล์ความคิดและการทำงานของเมืองแห่งศูนย์กลางการเงินของโลกแห่งนี้มาปรับใช้ให้แหลมคมขึ้น

ทว่าที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนซึ่งเปิดโอกาสสู่การเป็นนายแบงก์เออีซีในวันนี้ คือหลังจากนั้น มีโอกาสได้เข้าไปดูแลงานของสาขาต่างประเทศโซนอาเซียนมากขึ้น โดยเน้นที่เวียดนาม ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติอย่างคึกคักเป็นหลัก ถือเป็นด่านหน้าสำคัญของกลุ่มซีแอลเอ็มวี CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่ขณะนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักในมุมนี้

การไปครั้งนี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองด้านใหม่ให้กับนายแบงก์หนุ่มอีกครั้ง แตกต่างจากนิวยอร์ก ที่เป็นสาขาเล็กในมหานครใหญ่ แต่เวียดนามคือสมรภูมิใหญ่ที่กำลังเปิดโอกาสด้านการค้าและการลงทุนให้นักธุรกิจจากทั่วโลก บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบจึงเพิ่มขึ้นมาก พร้อมๆ กับที่ต้องเรียนรู้พื้นที่ใหม่

 

จากการดูแลลูกค้าขนาดใหญ่ของแบงก์ในประเทศมาตลอด เมื่อขยายขอบเขตงานข้ามพรมแดนไปต่างประเทศจึงต้องเรียนรู้เรื่องราวและทำความเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านให้ดีขึ้น ตั้งแต่เรื่องกฎระเบียบ ภาษี วัฒนธรรม ลักษณะนิสัยของคนที่โน่นว่าเป็นอย่างไร การกินการอยู่เป็นอย่างไรโลเกชั่นไหนที่ควรเข้าไปลงทุน และแบงก์จะซัพพอร์ตอย่างไรให้เขาได้บ้าง ในนามของแบงก์เกอร์ต้องรู้ต้องเข้าใจมากกว่าลูกค้า
ที่โน่น เพราะต้องเป็นคนแนะนำให้ลูกค้า

ชลวุฒิ ย้อนความหลังว่า ช่วงที่ไปดูแลที่เวียดนามถือว่าเป็นช่วงที่ทำงานหนักมาก เพราะเวียดนามกำลังบูมมาก อีกทั้งตนเองยังไม่มีประสบการณ์ในประเทศเหล่านี้เท่าไร จึงต้องใช้การเรียนรู้เยอะ ความเสี่ยงอยู่ตรงไหน จะแก้อย่างไรหากเป็นหนี้เสียขึ้นมา

การมีประสบการณ์ผ่านงานในพื้นที่จริงแถบซีแอลเอ็มวีที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องอีกราว 6 ปี ทำให้ชลวุฒิ ได้มีโอกาสเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษาการลงทุนระหว่างประเทศ ที่ตั้งขึ้นในสาขาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อต้นปี 2013 มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อรับเทรนด์การลงทุนในอาเซียนที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว

จากมุมมองของผู้บริหารในแบงก์ขนาดใหญ่สุดอันดับ 5 ในอาเซียน อินโดนีเซียเป็นประเทศที่เนื้อหอมในแถบอาเซียนตอนล่างเนื่องจากมีศักยภาพสูงด้านตลาดบริโภคในประเทศขนาดใหญ่ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่ฝั่งอาเซียนตอนบน หลายคนเลือกที่จะไปเวียดนามเนื่องจากมีการวางระบบ
โลจิสติกส์เชื่อมต่อที่ดี

สำหรับในอนาคตระยะยาวนั้น แน่นอนว่าต้องจับตาการพัฒนาของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม และเมียนมา ซึ่งมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทั้งที่เมืองโฮจิมินห์ซิตี้ และเมืองติละวา กับทวาย ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานได้ดีขึ้นและมีจุดดึงดูดมากขึ้น จากเดิมที่เป็นฐานการผลิตต้นทุนต่ำอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนายแบงก์ผู้คร่ำหวอดในวงการรายนี้ แม้โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ จะถูกสร้างและพัฒนาขึ้นให้ทัดเทียมได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี ทว่าสิ่งหนึ่งที่อาจจะยังไม่สามารถปรับตามมาให้ก้าวได้ทัน ก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ต้องใช้เวลาในการสร้างคนให้นอกจากมีทักษะฝีมือแล้ว ยังรวมไปถึงมุมมอง และศักยภาพต่างๆ ที่ยังต้องใช้เวลา ทำให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในภูมิภาคอยู่

Work-life Balance สำคัญ งานต้องมา แต่เวลาชีวิตต้องมี

ในขณะที่นายแบงก์ส่วนใหญ่ชอบวิ่ง และมักเห็นได้ตามงานวิ่งมาราธอนที่ธนาคารหลายแห่งจัดอยู่ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ หรือหลายคนก็หันมาชอบการปั่นจักรยานที่เริ่มฮิตติดลมในเมืองไทยได้ 2-3 ปีมาแล้ว แต่ชลวุฒิ เลือกที่จะออกกำลังกายกับกีฬาที่ดูแข็งแรงและออกจะบู๊สักหน่อยอย่างการ “ยิงปืน” และ “ต่อยมวย” ที่เขาถือเป็นแฟนมวยตัวยงของ บัวขาว บัญชาเมฆ เจ้าของยิมบัญชาเมฆที่ไปซ้อมมวยอยู่บ่อยครั้ง

ในขณะที่นายแบงก์หลายคนโดยเฉพาะในกลุ่มวาณิชธนกิจ หรือธนาคารเพื่อการลงทุน มักจะมีไลฟ์สไตล์ที่โลดโผนหวือหวาไม่แพ้เนื้องานที่ต้องเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูง แต่ชลวุฒิ ส่ายหน้าว่าตนเองไม่ค่อยมีวีรกรรมอะไรมากนัก มีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่ายเสียมากกว่า เพราะเน้นการบาลานซ์ระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ด้วยการเลิกงานเสร็จปุ๊บก็จะไปเล่นกีฬาออกกำลังกาย ซึ่งหลักๆ มี 2 อย่าง คือ ยิงปืนกับต่อยมวย

เจ้าตัวเล่าว่าชื่นชอบกีฬาต่อยมวยมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียน เล่นมาพักหนึ่งแล้วเลิกไป ทว่าภายหลังเมื่อมวยเป็นกีฬาที่เริ่มมาฮิตกัน มีการเปิดค่ายมวยกันมากขึ้น จึงสามารถหาที่ต่อยมวยได้สะดวกขึ้น
และซ้อมถึงสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งเมื่อมีเวลา เหตุผลที่ชอบต่อยมวยก็เพราะเป็นกีฬาที่ใช้การเบิร์นค่อนข้างเยอะ แถมต่อยแล้วยังช่วยให้หายเครียดได้ดีด้วย ถือว่าได้ระบายความเครียดดีมาก เวลาได้ซ้อมเตะเป้าแต่ละครั้งจะรู้สึกว่าร่างกายได้ปลดปล่อย บางทีเรามีความเครียดสะสมอยู่ข้างในก็ได้ระบายออกไป

“ผมคิดว่าถ้าเราทำงานอย่างเดียวจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าร่างกายเราไม่ดี สุขภาพเราไม่แข็งแรง ถ้าเรามาทำงานก็มีแต่ทรุดกับทรุด” ชลวุฒิ กล่าว

ส่วนกีฬายิงปืนที่เจ้าตัวหลงเสน่ห์ทั้งกลศาสตร์ของกระบอกปืนและการใช้ทักษะกับสมาธิในการยิงปืนนั้น ชลวุฒิ กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ชื่นชอบมานานแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ซื้อปืนเมื่อราว 4-5 ปีที่ผ่านมานี่เอง การยิงปืนเป็นกีฬาที่ใช้สมาธิสูง และรูปทรงการออกแบบ วิศวกรรมศาสตร์ของปืนยังน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกโม่ หรือออโตเมติก แถมยังเป็นกีฬาที่ท้าทาย เพราะเวลายิงปืนจะมีแรงสะบัดสูง ทำให้ต้องพยายามควบคุมให้ดี เราจะบริหารอย่างไรให้ยิงเข้าเป้าตรงกลางให้ได้ ไม่ให้เฉไปเฉมา ซึ่งต้องใช้สมาธิในการเล่นสูง

นอกจากกีฬาที่ช่วยรักษาสมดุลชีวิตของนายแบงก์รายนี้แล้ว เขายังชื่นชอบการท่องเที่ยวทั้งในไทยและทั่วโลก เพียงแต่ไม่ใช่สไตล์รูดปรื๊ดกินดื่มอย่างหรูหราตามที่มักจะเห็นในโฆษณาของบัตรเครดิตธนาคารแทบทุกแห่ง แต่เขาและภรรยาเลือกที่จะท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กไปทั่วโลก เพราะชอบการศึกษาเส้นทางที่ทำให้ได้เข้าใจประวัติศาสตร์ของแต่ละพื้นที่ไปพร้อมกันด้วย

“ผมไม่ค่อยติดหรู ผมว่าชีวิตมันจะสบายไปหน่อย บางทีเราก็ควรให้ชีวิตได้เดินทางได้ผจญภัยบ้าง ก่อนที่เราจะสบาย เราควรจะได้รู้จักเส้นทางที่ลำบากก่อน  เราจะเลือกสบายใช้เครื่องบินก็ได้ แต่เราต้องรู้ข้อมูลก่อนให้ได้เลือก ก็คล้ายกับวิธีการทำงานที่หากเราไม่รู้โพรเซสก่อน เราก็จะบริหารไม่ได้” ชลวุฒิ ให้มุมมอง

แม้งานในฐานะนายแบงก์จะต้องเผชิญกับแรงกดดันสูงในการแข่งขันและการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งหลายคนอาจต้องมีแพสชั่น หรือความปรารถนามุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเป็นแรงผลักดันสำคัญ แต่สำหรับชลวุฒิ เขาเลือกที่จะใช้หลักการเบสิกพื้นฐานที่เรียบง่ายด้วยการ “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”

เจ้าตัวกล่าวว่ามีหลักการเบื้องต้นที่เบสิกมากๆ คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด การทำงานต้องมีความเครียด มีปัญหาให้แก้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว จึงอยู่ที่ว่าเราจะบริหารจัดการ จะบาลานซ์สมดุลให้ได้อย่างไรระหว่างงานกับชีวิต ทำงานเสร็จในแต่ละวันก็ต้องมีเวลาออกกำลังกาย และมีเวลาอยู่ที่บ้าน ได้อยู่กับครอบครัวด้วย ชีวิตจมอยู่กับการทำงานอย่างเดียวก็ไม่ได้ คนที่ทำงานเสร็จเร็วไม่ได้หมายถึงทำงานไม่ดี แต่อาจบริหารจัดการได้ดีกว่าคนอื่นก็ได้

นอกจากนี้ ชลวุฒิ ยังมองว่า งานทุกอย่างค่อนข้างจะเหมือนกัน แต่อยู่ที่ตัวเนื้องานว่าที่ท้าทายอย่างไรมากกว่า งานแบงก์เองแต่ละฝ่ายก็มีลักษณะหน้าที่ที่ต่างกัน แต่เราจะดึงความท้าทายที่เราต้องไปเจอออกมาอย่างไร เช่น เป้าที่ถูกกำหนดมาแต่ละปี เคพีไอ จะวางแนวทางไหนให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เรียกว่าความท้าทาย (Challenge) และวิสัยทัศน์ (Vision) จะมาบรรจบกับเพื่อไปถึงเป้าหมายได้อย่างไรในแต่ละปี ถือเป็นความท้าทายในการบริหารจัดการของเราว่า เราจะมีวิชั่นเพื่อนำพาทีมและตัวเราเองให้ไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร

“อุปสรรคระหว่างทางก็ย่อมมีบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของคน ว่าคุณจะมีวิธีคุยกับเขาอย่างไร ทุกคนก็ต้องการการทรีตที่ดี แต่ก็ต้องมีเป้าหมายที่เราผลักดันไปพร้อมกันด้วย ผมไม่คิดว่าพวกนี้เป็นปัญหาใหญ่ แต่เรียกว่าเป็นอุปสรรคระหว่างทางตามปกติมากกว่า เป็นเรื่องของความต่อเนื่องระหว่างงาน ที่เราต้องค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ แก้กันไป และสุดท้ายเมื่อถึงวันที่ทุกอย่างสำเร็จ มันก็จะส่งเสียงของมันเอง” ชลวุฒิ กล่าว

 

Leave a comment