คสช.ต้องปรับบทบาท ถอยพ้น “ผู้มีส่วนได้เสีย”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 พฤษภาคม 2559 เวลา 13:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/433300

คสช.ต้องปรับบทบาท ถอยพ้น "ผู้มีส่วนได้เสีย"

โดย…ฐายิกา จันทร์เทพ

2 ปีเต็มกับการเข้ามาควบคุมอำนาจการบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำหน้าที่ทั้งหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ชนิดมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และตอกย้ำอำนาจนั้นด้วยมาตรา 44 ที่หวังจะใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาประเทศทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ติดหล่มความขัดแย้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย

คสช.เลี่ยงไม่ได้กับถูกการทวงถามถึงความสำเร็จการแก้ปัญหา และการตั้งคำถามว่าสุดท้ายแล้วจะซ้ำรอยการยึดอำนาจในอดีต แล้ว “เสียของ” อีกหรือไม่ ในเรื่องนี้ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ

“คำว่า ‘เสียของ’ พูดกันขึ้นมาเพื่อจะเปรียบเทียบกับการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 แต่การที่ทำแล้ว ‘ได้ของ’ แปลว่าอะไรครับ ต้องทำให้หนักกว่านี้หรือเปล่า ผมเห็นว่าการยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 ไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก และมันก็จะไม่เกิดหากเราแก้ไขปัญหาตามวิถีทางประชาธิปไตย จะไปโทษทหารอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าพรรค 2 พรรค คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ใช้สภาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งกันได้ ปัญหาก็จะไม่ออกมาข้างนอก และถ้าข้างนอกทั้งสองสี ทั้งสองข้าง ไม่ทำกันถึงขนาดนั้น เราก็คงไม่ถอยมาไกลถึงขนาดนี้” อาจารย์ปริญญา กล่าว

อาจารย์ปริญญาเห็นว่า เพราะการกลัว “เสียของ” นี่เองที่ทำให้การใช้อำนาจของผู้ยึดอำนาจในคราวนี้ แตกต่างไปจากปี 2549 ที่ผู้ยึดอำนาจในคราวนั้นมายุ่งกับการร่างรัฐธรรมนูญน้อยมาก ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และให้เป็นเรื่องประชามติไป ทั้งยังระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้ประชาชนรู้ไว้เลยว่า ถ้าไม่ผ่านจะเกิดอะไรขึ้น คือจะหยิบฉบับหนึ่งฉบับใดมาแก้ไขและประกาศใช้เลย ที่สำคัญที่สุดคือในตอนนั้นประชาชนสามารถแสดงออก และรณรงค์กันได้ว่าควรรับหรือไม่ควรรับ แต่ในคราวนี้ ผู้ยึดอำนาจเข้ามายุ่งเกี่ยวมากเกินไป จนทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้มีส่วนได้เสีย จากเดิมเป็นเพียงผู้คุมสถานการณ์

“ผมว่าบทบาท คสช.ที่ไม่น่าสบายใจคือ จากผู้คุมสถานการณ์ในช่วงแรก ตอนนี้กลายมาเป็นผู้ลงมือทำเองหมด เหมือนว่า คสช.ต้องการการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จในยุคที่ตัวเองเป็นรัฐบาลอยู่ คนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย คือคนไทยทุกคน และวิธีการปฏิรูปประเทศแบบแย่สุดคือ คนไม่กี่คนคุยกันแล้วไปสั่งให้คนอื่นทำ อย่างเช่น สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ก็คือกลุ่มคนจำนวน 250 คน ที่ คสช.ตั้งขึ้นมา ประชุมกัน 1 ปี ถามว่าปฏิรูปอะไรสำเร็จไปบ้าง ไม่มีอะไรที่เกิดผลเลยครับนอกจากได้หนังสือมา 1 เล่ม เรื่องแผนการปฏิรูปประเทศ ส่วนสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ที่ คสช.ตั้งขึ้นมาใหม่ ก็กำลังทำอีหรอบเดียวกัน แล้วสุดท้ายจะจบแบบเดียวกันหรือเปล่าครับ คือได้หนังสือมา 1 เล่ม คือวิธีการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ” อาจารย์ปริญญา กล่าว

“ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องการใช้มาตรา 44 ที่ใช้มากเกินไป มาตรา 44 แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราวทุกฉบับ ยกเว้นฉบับที่แล้วคือ 2549 ล้วนแต่มีมาตราที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างมาตรา 44 ซึ่งเอามาจากมาตรา 17 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ของจอมพลสฤษดิ์ แต่เป็นเรื่องที่ใหม่คือในครั้งนี้มีการใช้อำนาจตามมาตรานี้มาก มากที่สุดยิ่งกว่าทุกครั้ง ครั้งก่อนนี้คือปี 2534 ตอนนั้นคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ไม่ได้ใช้มาตรานี้เลยครับ” อาจารย์ปริญญาชี้ “อย่าลืมว่า มาตรา 44 เป็นของชั่วคราว และขึ้นอยู่กับอำเภอใจของผู้ใช้ มันให้อำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ จะใช้ไปทำอะไรก็ถูกต้องหมด ไม่มีวันผิด ไปฟ้องศาลที่ไหนก็ไม่ได้ จะอันตรายมากในอนาคตหากอำนาจนี้อยู่ยาว และถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะใช้กลไกปกติในการแก้ปัญหา ยิ่งถ้า คสช.ประเมินว่ายังปฏิรูปไม่สำเร็จ แล้วก็เลยยิ่งใช้มาตรา 44 มากขึ้น มันจะไม่เป็นผลดี เพราะเราจะไม่เรียนรู้ที่จะใช้กลไกปกติในการแก้ปัญหาเสียที”

อาจารย์ปริญญาชี้ปัญหาว่า ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 44 จะมีต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีแบบนี้ ทุกครั้งก่อนหน้านี้มาตรานี้จะหมดไปเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว “แล้วการขอต่ออีก 5 ปี โดยผ่านกลไก สว. ที่ คสช.เลือก ที่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีตามคำถามพ่วงด้วยนั้น เป็นการตีโจทย์ผิด ถ้าหากประเทศไทยเปรียบเสมือนเรือที่มีน้ำรั่วเข้าเรือ การแก้ปัญหาคือต้องทำให้คนในเรือ หรือประชาชนทุกคนหยุดเจาะรู แล้วช่วยกันอุดรูรั่ว และช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือ แต่การปฏิรูปประเทศที่ทำกันอยู่ในขณะนี้คือสั่งให้วิดน้ำออกจากเรืออย่างเดียวครับ โจทย์ของ คสช.ในตอนแรกคือ ปฏิรูปประเทศด้วยการจัดให้มีกติกาใหม่และได้ประชาธิปไตยที่ไม่ล้มเหลวอีก ซึ่งต้องเป็นช่วงเวลาที่สั้นที่สุด แต่ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 2 ปีแล้ว และตามบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญกว่าจะมีเลือกตั้งก็ปลายปี 2560 หรืออาจไปถึงต้นปี 2561 กว่าจะมีรัฐบาลใหม่ก็อาจไปถึงเดือน มี.ค. หรือ เม.ย. 2561 เท่ากับ คสช. อยู่ในอำนาจ 4 ปี เท่ากับรัฐบาลปกติเลย แล้วถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็จะอยู่ยาวยิ่งกว่านี้”

“ที่ คสช.ขอไว้ตอนแรกว่า ขอเวลาอีกไม่นานจะคืนความสุขให้ประชาชน ตอนนี้ชักจะนานเกินไปแล้ว ยิ่งถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วไปร่างใหม่ ผมคิดว่ามันจะไม่เป็นเรื่องดี เพราะยิ่งร่างมันยิ่งแย่ ทำให้ คสช.จะถูกตั้งคำถามว่าทำไม่สำเร็จ ก็ยิ่งทำหนักขึ้น พอทำแล้วมีคนค้าน ก็จะยิ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพ กระแสต่อต้านก็จะยิ่งมากขึ้น แรงกดดันทางการเมืองจะยิ่งมาก แล้วถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติขึ้นมา ก็จะเท่ากับว่าที่ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คือประชาชนไม่รับ คสช. ก็จะเกิดการเรียกร้องทำนองว่า ให้ต้องคืนอำนาจเลย ต้องเลือกตั้งภายใน 3 เดือนอะไรแบบนี้ ก็จะเกิดสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ใช่ต่อ คสช.เท่านั้น แต่ต่อประเทศของเราด้วย”

อาจารย์ปริญญาได้เสนอทางออกว่า “คสช. ต้องแกะระเบิดเวลาที่จะระเบิดขึ้นได้ในวันลงประชามติ 7 ส.ค. โดยอาจจะประกาศว่า ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน คสช.จะยอมรับการตัดสินใจของประชาชน แล้วก็ประกาศเลยว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะเกิดอะไรขึ้น แล้วผลออกมาอย่างไร คสช.ก็ทำไปตามนั้น เท่านี้ก็จบ” โดยอาจารย์ปริญญาเห็นว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน คสช.ไม่ควรมาเริ่มต้นร่างใหม่ แต่ควรหยิบฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมา เพราะยิ่งอยู่นานคนจะยิ่งต่อต้านมากขึ้น โดยควรต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อให้เกิดกติกาที่ชัดเจนไว้เลย

“เรื่องนี้สำคัญนะครับ ถ้า คสช.ไม่ถอยออกมาจากการเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และไม่แก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวไว้ ทั้งยังไม่ให้ประชาชนได้แสดงออกหรือรณรงค์ได้ตามสมควร ทั้งข้างที่จะรับและข้างที่จะไม่รับ จะรับร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็ยุ่ง กรณีกลับกันคือผ่าน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่มีทางยั่งยืน เพราะเมื่อคนรู้สึกว่าการลงประชามติไม่ฟรีและไม่แฟร์ หลังจากนี้ไปในอนาคตก็อาจจะต้องมาร่างกันใหม่อีก เหมือนกับรัฐธรรมนูญ 2534 ของ รสช. ขนาดในปี 2538 มีการแก้กันแทบทั้งฉบับไปแล้ว สุดท้ายก็ยังต้องมาร่างกันใหม่หมด จนเกิดเป็นรัฐธรรมนูญ 2540 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็อาจจะมีชะตากรรมแบบนั้นครับ”

สรุปบทเรียน 2 ปี คสช.

อาจารย์ปริญญาบอกว่า ตอนนี้ยากจะสรุปได้ว่า ที่คสช.ทำ ใน 2 ปีที่ผ่านมา จะก่อให้เกิดผลแบบไหนในอนาคต เพราะตอนนี้เพิ่งมาได้ครึ่งทาง ซึ่งก็มี 2 แบบ คือ หนึ่ง สุดท้ายเราจะเรียนรู้ว่าอำนาจที่รวมศูนย์แล้วไม่ถูกตรวจสอบ ไม่มีการถ่วงดุล ถ้าผิดพลาด แล้วอยู่ยาวไปเรื่อยๆ จะเกิดผลต่อประชาชนอย่างไร หรือ สองคสช.แก้ปัญหาได้ดี และปฏิรูปประเทศสำเร็จ

“แม้ว่าหลายเรื่อง คสช.จะแก้ปัญหาได้ดี เช่น เรื่องปัญหาการบุกรุกป่าของนายทุน ปัญหาประมง แต่ผมเห็นคิดว่าแบบที่ 2 ที่ คสช.จะแก้ปัญหาสำ เร็จทุกอย่าง นั้น จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงไปเรื่อยๆ หรือเกิดแก้สำ เร็จหมด เราก็คงจะเรียนรู้ไปในทางที่ว่า ปฏิวัติเป็นของดีมาตรา 44 เป็นของดี ทำ ให้เราจะใช้วิธีนี้อีกในอนาคต ซึ่งก็จะไม่ดีในระยะยาว ขณะที่โอกาสที่จะเป็นแบบที่ 1ที่จะแก้ปัญหาไม่สำ เร็จจะมีมากขึ้น เพราะเมื่ออำนาจมีมากแล้วทักท้วงไม่ได้มันย่อมมีปัญหา รัฐบาลทุกประเทศไม่ว่าจะระบอบอะไรก็มีสิทธิทำผิดได้หมด แล้วอำนาจ
แบบทักท้วงไม่ได้ย่อมมีโอกาสผิดมากกว่าอยู่แล้ว

ขณะเดียวกันยิ่งอยู่นานไปความนิยมก็จะยิ่งลดลง ความนิยมสูงสูดของคณะปฏิวัติทุกคณะ คือวันที่ทำการปฏิวัติ และ จะมีช่วงเวลาสักครึ่งปี ความนิยมก็จะลดลงไป แม้ว่าคสช.จะอยู่มาได้ 2 ปี ซึ่งก็เป็นข้อยกเว้นแล้ว แต่กระแสนิยมก็ไม่เท่าช่วงแรกๆ แล้วก็มีแต่จะลดลงไปเรื่อยๆ”

อาจารย์ปริญญาชี้ให้เห็นว่า เรื่องที่จะกระทบต่อ คสช. ไม่ใช่เรื่องรัฐธรรมนูญเท่านั้น และบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาหลักของประเทศด้วยซ้ำ แต่จะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เช่น โครงการที่ผู้คนสงสัยแล้วอยากตรวจสอบแต่ตรวจสอบไม่ได้ หรือเรื่องประเด็นลูกปลัดกระทรวงกลาโหม เรื่องพวกนี้ยิ่งอยู่นานมันจะยิ่งมา แล้วจะเป็นปัญหาที่ทำ ให้ คสช.คะแนนตกยิ่งกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญเสียอีก แล้วประเทศจะขับเคลื่อนอย่างไร

อาจารย์ปริญญามองว่า รัฐธรรมนูญคือการสร้างแพลตฟอร์ม ให้ประชาชนได้ปฏิรูปประเทศกันต่อ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ คสช. ที่จะไปทำอยู่ ตลอด สิ่งที่ คสช.ควรทำคือเรื่องเร่งด่วน และเรื่องที่จำ เป็นเท่านั้น

“คสช.จึงต้องทำ ให้ประชาชนมาปฏิรูปประเทศ ไม่ใช้ทำ ให้คนเสพติดอำนาจมาตรา 44 แล้วก็เอาแต่เรียกร้องหาผู้มีอำนาจมาแก้ปัญหาให้ โดยอาจจะลืมไปว่าเราก็คือ ส่วนหนึ่งที่สร้างปัญหาไว้ เปรียบเหมือนปัญหาขยะกองใหญ่ วิธีการแก้โดยทั่วไปเรียกร้องผู้มีอำนาจมาเก็บขยะ แต่ลืมว่าขยะกองใหญ่มีขยะของเราอยู่ด้วย การทำ ให้ประเทศไทยเข้มแข็งและมีศักยภาพในประชาคมโลกเสมอหน้าเท่าเทียมกับประเทศอื่น มันไม่มีทางอื่นนอกจากประชาชนเข้มแข็ง และสังคมเข้มแข็งครับ”

“สิ่งที่ คสช.ควรทำ คือ ทำ ให้ประชาชนกลับมาตระหนักในความเป็นเจ้าของประเทศแล้วลงมือทำ ในการช่วยกันแก้ปัญหาประเทศ นั่นหมายถึงว่า คสช.ต้องหากลไกในการส่งเสริมบทบาทภาคประชาชน ไม่ใช่ทำ ในทางกลับกันแบบที่เป็นอยู่นี้ คสช.ควรปรับบทบาทจากที่ถลำลึกลงไปในการบริหารประเทศในด้านต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นการทำ ให้ประเทศไทยค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจกันเองว่าร่างรัฐธรรมนูญควรผ่านหรือไม่ผ่าน

“ตอนนี้ถ้าเป็นเกมฟุตบอลเราเข้าสู่ครึ่งหลังแล้ว คสช.ต้องเปลี่ยนบทบาท จากที่ลงมาเป็นผู้เล่นเอง กลับไปเป็นผู้ควบคุมความปลอดภัยของการแข่งขันในสนามอีกครั้ง แล้วให้ประชาชนเขาเล่นกันเอง ทำกันเองมากขึ้น เรื่องเร่งด่วนก็ว่ากันไป คือต้องคิดอยู่เสมอว่า ยังไงเราก็ต้องกลับสู่ประชาธิปไตย คสช.ต้องคิดให้ยาวว่าการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนคืออะไร นั่นคือประชาชนต้องเป็นผู้แก้ปัญหาครับ”

 

Leave a comment