ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
16 พฤษภาคม 2559 เวลา 19:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/432247

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
เดือน พ.ค. สำหรับประเทศไทยถือหนึ่งในปฏิทินทางการเมือง เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในเดือน พ.ค. อย่างน้อยก็ 3 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 การสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ซึ่งลงท้ายด้วยความสูญเสียของทุกฝ่าย และการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปี 2557
มาในเวลานี้แม้หลายฝ่ายจะเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองยังมีความสงบภายใต้การทำงานของ คสช. แต่ในมุมมองของ อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และ อดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แล้ว กลับเห็นว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“บ้านเมืองมีความตึงเครียดมากขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างมากมาย เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า สาเหตุที่ทำให้ปัญหาของบ้านเมืองเข้าสู่วิกฤตและความตึงเครียด เนื่องจากสาเหตุ 3 ประการ 1.เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจที่แร้นแค้น 2.ปัญหาภัยแล้ง 3.การไม่เกิดความสามัคคีและความปรองดอง” อดุลย์ เกริ่นนำ
“ตัวที่จุดชนวนเหตุ คือ ตัวร่างรัฐธรรมนูญ จะเขียนร่างรัฐธรรมนูญอย่างไรมันก็มีเรื่อง เพราะว่าคนที่มาเขียนไม่ได้มีแนวคิดที่จะเป็นประชาธิปไตยแต่เป็นแนวคิดที่จะมาในด้านของการยึดกุมอำนาจ เมื่อแนวคิดเป็นอย่างนี้แล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งต่อให้ กองทัพ หรือ คสช. จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็มีวันโรยราที่ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน และต้องคืนอย่างสมบูรณ์ด้วย”
“เพราะถ้าคุณไม่คืนอย่างสมบูรณ์ ก็จะเหมือนอย่างบทเรียนของเหตุการณ์เดือนพฤษภาปี 2535 หรือบทเรียนเผด็จการทุกแห่งในโลกนี้มีก็ให้เห็นชัดเจนแล้ว คือ จะลงอย่างสง่าผ่าเผย หรือลงแบบที่ถูกประชาชนขับไล่”
ในมุมมองของผู้ผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี 2535 เห็นว่ามี 2 อย่างที่ คสช.ต้องพึงระวัง มิเช่นนั้นอาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคต แม้จะมีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดก็ตาม
“ในเมื่อท่านยึดอำนาจแล้ว หากใช้ให้ถูกทางมันก็สามารถนำประเทศไปสู่ทางที่ดีได้ นำไปสู่สิ่งที่ถูกต้องได้ แต่ระยะหลังมานี้ชักจะออกนอกลู่นอกทาง บางครั้งการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ก็มีทั้งการใช้ไปในทางที่ดี หรือใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะสมก็มีมาก แต่สำคัญที่สุด คสช.จะต้องไม่ให้เกิดปัญหา 2 เรื่อง คือ 1.การใช้อำนาจเกินขอบเขต 2.ต้องระวังเรื่องคำครหาการคอร์รัปชั่น”
“สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท่านตั้งมาตรฐานตัวเองไว้สูง เมื่อตอนเข้ามาท่านบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ และยังได้ตำหนิติเตียนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างมากมาย แต่ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านมานี้ ประชาชนเริ่มข้องใจว่าท่านกำลังว่าเขาแต่อิเหนาเป็นเองหรือไม่”
“การใช้อำนาจโดยไม่จำเป็นด้วยการอ้างความมั่นคงอย่างกรณีที่คนออกมาไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากเลย เพราะมันไม่มีผลต่อการทำประชามติหรือความมั่นคงเลย ถามว่าขณะนี้ผ่านมา 2 ปีภายใต้รัฐบาลของท่าน ท่านได้ทำอะไรที่ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองหรือให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น ไม่เห็นเป็นรูปธรรมเลย”
“ดังนั้น ถ้าเป็นลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผลของมันคือ ปัญหาเศรษฐกิจที่ท่านก็แก้ไขไม่ได้ อาจจะโทษว่าเศรษฐกิจโลกมีส่วนด้วย โอเคก็พูดได้ แต่ถามว่าประชาชนจะทนสภาพอย่างนี้ได้นานอีกสักเท่าไร หากประชาชนท้องหิว เพราะเขามีครอบครัวที่ต้องดูแล หากท่านยังปล่อยให้เป็นตามยถากรรมโดยไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ถามว่าท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะใช้อำนาจกดดันประชาชนอยู่”
สถานการณ์ที่เป็นอยู่จะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์แบบพฤษภาปี 2535 หรือไม่? อดุลย์ ตอบว่า “ถ้าดูจากสภาพความเป็นจริงขณะนี้นะครับ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬสองก็ยังยากอยู่ เพียงแต่ว่ารูปแบบที่เดินมามันชักจะเดินตามรอยพฤษภาทมิฬเข้ามาใกล้มาก สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ตามรอยเดิมในอดีตโดยการใช้อำนาจ สืบทอดอำนาจอะไรต่างๆ มีประเด็นปัญหาครหาต่างๆ รวมถึงด้านเศรษฐกิจก็ไม่สามารถบริหารได้เป็นรูปธรรม สำคัญที่สุด คือ การปฏิรูปประเทศ ก็ไม่รู้จะไปทิศทางไหน ไม่มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไปทางไหน ไม่มีเลย”
“บอกได้เลยว่าโอกาสจะเกิดแบบพฤษภาทมิฬคงไม่มี แต่ถ้ามีก็เป็นสิ่งที่เหนือความคาดเดาว่าน่าจะร้ายแรงกว่า เพราะว่าถึงเวลานั้นมันไม่ใช่เป็นการปลุกม็อบ มันไม่ใช่เป็นการเคลื่อนขบวน แต่เป็นลักษณะของการจลาจลเพราะบ้านเมืองมันรับไม่ได้แล้ว”
อดุลย์ ขมวดปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประกอบด้วย 1.รัฐบาลไม่สามารถแก้ความแร้นแค้นของประชาชนได้ 2.สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง
“ตอนนี้หากไม่หลอกตัวเอง มันพังพาบหมดแล้ว ตอนนี้เห็นชัดเลยว่าคนชั้นกลางที่เคยสบายกลับกำลังลำบาก คนชั้นกลางเดือดร้อนที่สุดนะครับ คนชั้นล่างรู้สึกเฉยๆ เพราะลำบากจนชินแล้ว อีกสักพักจะมีปัญหาตามมา ถามว่าความอดทนจะสิ้นสุดเมื่อไร ไม่มีใครตอบได้ แต่คงจะไม่นาน”
“ความแร้นแค้นของคนในชนบท ยังไม่มีการหาทางออกให้เขาเลย มีแต่การพยายามทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนอดทน แต่ความอดทนของเขามันก็มีจุดสิ้นสุด เพราะไม่ได้มีการบอกว่าอนาคตคืออะไร นับตั้งแต่วันแรกที่ คสช.เข้ามา บอกว่าจะคืนความสุข ได้ให้ความฝันนี้มาตลอด สร้างปราสาทและวิมานในอากาศสวยหรูมาตลอด แต่สองปีแล้วยังไม่เห็นอะไรเลย ถามว่าประชาชนและชาวบ้านจะมองวิมานในอากาศแล้วจะกินได้ไหม”

สำหรับข้อเสนอแนะของอดุลย์ที่มีต่อ คสช. คือ คสช.ต้องปรับแนวคิดและการกระทำ เพื่อผูกมิตรกับทุกฝ่าย
“ทุกคนต้องการให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ แต่ไม่ใช่เป็นแบบที่เห็นอยู่ขณะนี้ เพราะนอกจากจะเดินไม่ได้แล้วแต่กลายเป็นกำลังจะจมลง คสช.ต้องปรับวิธีคิดของตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ ถ้าคุณปรับเปลี่ยนนโยบายความคิดของตัวเอง กล้าๆ หน่อย ถ้าคุณจะใช้อำนาจเผด็จการในทางที่เหมาะสม ผมสนับสนุนให้คุณใช้ไปเลยถ้าเป็นไปเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อพรรคพวกส่วนตัว แล้วทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
“คุณไม่ต้องมาปรับแต่งสร้างภาพของคุณว่าคุณเป็นเผด็จการในรูปของประชาธิปไตย มันเป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้มันมีการแบ่งแยกชัดเจน เผด็จการยึดอำนาจการปกครองกับเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง คุณจะเอาอย่างไรก็ต้องเอาสักอย่าง แต่คุณไม่สามารถจะเป็นเผด็จการยึดอำนาจและมาแฝงรูปของประชาธิปไตย มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การที่คุณจะทำภาพอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์สำหรับประเทศชาติ”
สรุปสุดท้าย อดุลย์ หวังว่าในโอกาสที่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬเดินทางมาครบ 24 ปีในวันที่ 17 พ.ค.นี้ จะเป็นสิ่งเตือนใจให้ทุกฝ่ายนำเอามาเป็นบทเรียนว่าจะไม่พาประเทศกลับไปสู่ความรุนแรงอีก
“จะมีการจัดงานพร้อมกับนำอัฐิของวีรชนในเหตุการณ์นั้นเข้าบรรจุในอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าว โดยสถานที่แห่งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกฝ่ายว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากมีการใช้ความรุนแรงต่อกันก็มีแต่ความสูญเสีย รวมทั้งเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่าไม่ว่าจะขัดแย้งกันถึงขนาดไหนก็แล้วแต่ เมื่อถึงจุดหนึ่งเพื่อเห็นแก่บ้านเมือง ท่านต้องให้อภัยและอโหสิกรรมต่อกัน”
“เราหวังว่าการสูญเสียที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬจะเป็นเครื่องเตือน คสช. ว่าอย่าทำอะไรที่เป็นการซ้ำรอยเดิมอีก เพราะมันรังจะมีแต่ความเจ็บปวดกับทุกฝ่าย” อดุลย์ ทิ้งท้าย