“หากไม่มีเสรีภาพ ประชามติจะยุติธรรมได้อย่างไร” สมชาย หอมลออ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 พฤษภาคม 2559 เวลา 11:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/432043

"หากไม่มีเสรีภาพ ประชามติจะยุติธรรมได้อย่างไร" สมชาย หอมลออ

โดย…ปริญญา ชูเลขา

สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังถูกซักฟอกอย่างหนักจากนานาประเทศและองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) โดยเฉพาะบนเวทีการประชุมที่รัฐบาลไทยต้องนำเสนอรายงานการทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศตามกลไก รอบที่ 2 ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส

เวทีนี้รัฐบาล คสช.ถูกตั้งคำถามถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ด้วยการใช้อำนาจเกินขอบเขต อาทิ การใช้อำนาจตามมาตรา 44 การขยายอำนาจและเพิ่มบทลงโทษ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ  หรือการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และ กฎหมายอาญามาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น การออกเสียงลงประชามติ รวมถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหารล้วนถูกมองว่าลิดรอนสิทธิเสรีภาพและละเมิดสิทธิมนุษยชนขัดหลักสากล

“สมชาย หอมลออ” ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงการทนายความด้านสิทธิมนุษยชนผู้มีประสบการณ์ทำงาน ในด้านสิทธิมนุษยชนมาอย่างยาวนาน มีบทบาททั้งในและต่างประเทศ และยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานกับสภาทนายความ องค์กรภาคประชาชน รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ได้ประเมินสถานการณ์การเมืองไทย ว่า เรื่องสิทธิมนุษยชน ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่การเขียนรัฐธรรมนูญปี 40 หรือ 50 ก็ได้นำหลักการสิทธิมนุษยชนมากำหนดไว้ ว่าด้วยเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการไม่เลือกปฏิบัติ ความเสมอภาคและเท่าเทียม การไม่ทรมาน ดังนั้นต้องยอมรับว่าการร่างรัฐธรรมนูญ 2 ครั้งที่ผ่านมา คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนมากพอสมควรในภาพรวมหรือแม้แต่ในหลักกฎหมายไทย

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นแทนที่จะเป็นการเดินไปข้างหน้าเพื่อสนับสนุนสิทธิมนุษยชน แต่กลับถอยหลัง ตั้งแต่เมื่อเกิดการรัฐประหาร สิทธิมนุษยชนที่ได้รับการยอมรับโดยรัฐไทย ถูกจำกัดโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร หากเป็นการจำกัดเป็นการชั่วคราวก็พอรับได้ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพอย่างถาวร

“ผมคิดว่าจะเกิดปัญหา เพราะหลักการพื้นฐานของรัฐ อย่างน้อยความผูกพันต่อกฎหมายระหว่างประเทศที่ค้ำยันอยู่ และการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลนานาประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) หรือองค์กรระหว่างประเทศ ที่เป็นภาคีกับกติกายูเอ็น เหล่านี้ ย่อมที่จะมีสิทธิจะวิจารณ์รัฐบาลไทยได้ แน่นอนว่าบางรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะมีเจตนาทางการเมืองอะไรบางอย่างถือเป็นเรื่องปกติ หรือบางรัฐบาลที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อาจจะถูกประชาชนในประเทศตัวเองบังคับให้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทย เพราะการทำบางอย่างของรัฐบาลไทยไม่ถูกต้อง”

ทั้งนี้ คสช.ต้องตรวจสอบตัวเองด้วย เช่น กฎหมายการทำประชามติ หากไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี การลงประชามติจะยุติธรรมได้อย่างไร อย่างหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดออกมา ชาวบ้านจะปฏิบัติได้อย่างไร เช่น ต้องวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการ ชาวบ้านจะไปรู้หรือว่าอะไรวิชาการ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากที่ออกระเบียบนี้ออกมา ส่วนสมาคมฯ หรือมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์ด้านการเมืองที่มีหน้าที่ส่งเสริมประชาธิปไตยหรือการจัดเวทีเสวนาสนับสนุนให้คนไปใช้สิทธิลงคะแนน ส่วนประชาชนจะใช้สิทธิ รับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องของประชาชน กลับกลายเป็นเรื่องที่มีความผิด

“ผมเห็นว่าหลักการสิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน ในการแสดงออกความคิดเห็น คือ ต้องมีเสรีภาพ การจำกัดทำได้ โดยต้องไม่ไปละเมิดสิทธิศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น ถือเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ และการยุยงให้เกิดความรุนแรงและความเกลียดชัง ในด้านศาสนา และเชื้อชาติ ย่อมทำไม่ได้เช่นกัน เพราะจะนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยหรือความไม่มั่นคงเกิดขึ้น  แต่มิใช่อยู่ๆ จะมาบังคับว่าห้ามแสดงความคิดเห็นหรือข้อมูลที่อาจจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคง คำถามคือ อะไร คือความไม่มั่นคง”

สมชาย อธิบายว่า โดยหลักการแล้วต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า การก่อให้เกิดความไม่มั่นคง คือ เรื่องอะไร เช่น ก่อความรุนแรง หรือ Hate Speech (เฮตสปีช) หรือการสื่อสารความเกลียดชัง แบบนี้ถือว่าเป็นการก่อความไม่สงบ ดังนั้นข้อจำกัดของ กกต.ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการสิทธิมนุษยชน หรือ กกต.ยังไม่เข้าใจหลักการในการลงคะแนนอย่างเสรี หรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเป็นการกำหนดโดยปัจจัยอื่นที่ไม่อาจอธิบายให้กับสังคมได้เข้าใจได้ ดังนั้นจึงทำให้บรรยากาศการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเงียบเหงาเพราะโทษสูงมากกว่าความผิดด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญของการสร้างนิติรัฐหรือนิติธรรม คือ ที่มาของกฎหมายและความชัดเจนในตัวกฎหมาย ต้องไม่คลุมเครือ ซึ่งกฎหมายการลงประชามติเป็นการกำหนดนิยามที่กว้างมาก เพราะคนคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นออกไปอาจจะเข้าข่ายก่อให้เกิดความวุ่นวาย จนถูกตั้งข้อหาและมีโทษจำคุก 10 ปี การวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งบางครั้งยากที่จะพูดว่าจูงใจเพื่อให้โหวตโน หรือโหวตเยส ไม่มีองค์ประกอบใดมาพิจารณาเลย เพราะตามหลักกฎหมายอาญาจะมีองค์ประกอบความผิดอะไรบ้าง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการได้ตามอำเภอใจอย่างกว้างขวาง

“เมื่อตัวกฎหมายเองมีปัญหา ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่มีปัญหาในลักษณะการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เพราะว่าไม่มีความชัดเจน และโทษก็ไม่ได้สัดส่วนกับความผิดเลย เพราะถ้าคนคนหนึ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการลงประชามติให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านผมจะโหวตโน และอยากให้พี่น้องคนอื่นโหวตโนตามด้วย ทำแบบนี้อาจติดคุก 10 ปี ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นเล็กน้อยและคนคนหนึ่งพูดแบบนี้ประชาชนคนอื่นๆ ที่รับฟังก็ไม่ใช่กระบือ สามารถตัดสินใจเองได้ แต่ถ้ามีการเอาปืนไปบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้คนคนนั้นไปโหวตโน อันนั้นถือเป็นความผิด แต่ถ้าพูดชักจูงจะเป็นความผิดอย่างไร แต่กฎหมายกลับกำหนดให้เป็นความผิด แสดงได้ว่าผู้ออกกฎหมายดูหมิ่นสติปัญญาและการใช้ดุลพินิจประชาชนมาก จึงไม่สอดคล้องกับหลักของความเป็นธรรม”

สำหรับเสียงตำหนิท้วงติงจากรัฐบาลประเทศต่างๆ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศนั้น สมชาย บอกว่า รัฐบาลต้องพิจารณา หลักยึดถือและหลักปฏิบัติตามหลักสากลขององค์การสหประชาชาติ เพราะเมื่อมีการร้องเรียนต่อยูเอ็น

แม้จะเป็นเสียงที่ออกมาติติง หรือเสียงของคนบางกลุ่มที่ออกไปร้องเรียนต่อยูเอ็น เพราะคนเหล่านั้นรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล คสช. ถือเป็นการใช้สิทธิของบุคคลเหล่านั้น แต่ถ้ายังไปมองว่าคนเหล่านั้น กำลังทำเรื่องเหล่านี้เป็นการชักศึกเข้าบ้าน เราก็ต้องไล่ยูเอ็นออกไป และเราต้องไม่เป็นสมาชิกยูเอ็น เพราะการเป็นสมาชิกและสำนักงานใหญ่ยูเอ็นอยู่ในประเทศไทย จึงเป็นบทบาทและหน้าที่ตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และคำกล่าวของคนบางคนที่ไม่พอใจยูเอ็นโดยกล่าวออกไปว่าหากไม่มีความสุขในประเทศนี้ก็ให้ออกไป

อย่างไรก็ตาม การพูดแบบนี้คงไม่ถูกเพราะประเทศนี้ไม่ใช่ของคนพูดเพียงคนเดียว และเป็นการพูดที่ใช้วาทกรรม หรือถ้าไม่แกล้งพูด ก็เป็นการพูดด้วยโมหะ หรือโทสะ เพราะว่าตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ไม่ว่าบุคคลในประเทศนี้หรือประเทศไหน หรือองค์กรใด รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลประเทศไหน ย่อมต้องมีสิทธิที่จะตรวจสอบ อาทิ หากเกิดกรณีสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยที่ไทยคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ก็คงไม่ถูกต้อง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่แต่ละประเทศต้องยึดถือ  หรือกรณีปัญหาผู้ลี้ภัยจำนวนเรือนแสนคน จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับประเทศไทยคงพูดเช่นนั้นไม่ได้

สิ่งสำคัญในระดับสากล คือ การที่ประเทศไทยเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน หลายฉบับ ทำให้มีผลผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญา อย่างน้อยจำนวน 7 ฉบับ ที่ไทยลงนามไปแล้ว เหลืออีก 2 ฉบับที่ยังไม่ลงนาม คือ ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการบังคับให้บุคคลหายสาบสูญ ก็แสดงว่าประเทศไทยไม่กล่าวถึงรัฐบาลชุดไหนๆ แต่หมายถึงรัฐไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างมาก เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ

“ยูเอ็นไม่ใช่ต่างชาติ อยากทำความเข้าใจตรงนี้ กับคนที่ชอบสร้างวาทกรรม เรื่อง ชักศึกเข้าบ้าน ให้เข้าใจว่ายูเอ็นไม่ใช่ต่างชาติ แต่เป็นรัฐบาลระหว่างประเทศ ที่เกิดขึ้นเป็นชมรมและมีสมาชิกร่วมกันจัดตั้งขึ้นมา และไทยเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นรัฐบาลกัมพูชา อย่างนี้ คือ ต่างชาติแน่นอน ที่สำคัญยูเอ็นไม่ได้มีเรื่องสิทธิมนุษยชนเพียงอย่างเดียวแต่มีเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น การปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศ ค้ามนุษย์ หรือการพัฒนาและการค้าระหว่างประเทศ แต่ปัญหาสิทธิมนุษยชนเป็นแขนหนึ่งของยูเอ็น ถือเป็นภารกิจสำคัญและได้รับการยอมรับ ถือเป็นเสาค้ำสำคัญ เพราะเดิมมีคณะมนตรีความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม แต่ปัจจุบันมีคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน หรือยูเอ็น ฮิวแมนไรต์ ขึ้นมาด้วย เท่ากับว่าในเวทีระหว่างประเทศประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญในระดับโลก” สมชาย กล่าวทิ้งท้าย

แก้โทษ 112 หยุดใช้เป็นเครื่องมือการเมือง

กฎหมายอีกฉบับที่องค์การต่างประเทศจับตามองการบังคับใช้กฎหมายอย่างมาก คือ มาตรา 112 เพราะเห็นว่าเป็นการใช้ข้อหาความผิดไปจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากเกินไป หรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะว่าคนที่โดนจับกุมส่วนใหญ่จะโยงกับกลุ่มบุคคลที่คัดค้าน คสช. สมชาย กล่าวว่า ก่อนอื่นเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าสถาบันเป็นประเด็นเฉพาะในแต่ละสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นภูมิหลังและประวัติศาสตร์ของไทย แต่การกำหนดขอบเขตในการใช้กฎหมายฉบับนี้ต้องใช้ในลักษณะที่จำกัดและเคร่งครัดจริงๆ

ทั้งนี้ เพราะการใช้มากเกินไปแทนที่จะเป็นผลในการปกป้องกลับกลายเป็นผลกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบัน กล่าวคือมีผลทั้งบวกและลบ ดังนั้นการใช้ต้องใช้อย่างประณีต หรือพินิจพิเคราะห์จริงๆ ที่สำคัญฝ่ายรัฐต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างสูง เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ใช้มากไปไม่ดี และโทษสูงเกินไป แม้จะทราบดีว่าเหตุผลที่โทษสูงเพราะเกิดจากรัฐประหาร 6 ตุลา 19 รัฐบาลในช่วงนั้นแก้กฎหมายให้เพิ่มโทษขั้นต่ำ 3 ปี โทษขั้นสูง 15 ปี จึงมีปัญหาในการกำหนดโทษ ทั้งๆ ที่การกระทำผิดมีหลายรูปแบบและลักษณะทั้งหนักและเบา ซึ่งโทษขั้นต่ำ 3 ปี สูงเกินไป เช่น การส่งข้อความของคนคนหนึ่งที่เป็นข้อความผิดกฎหมายเพียงครั้งเดียว อาจจะโดนจำคุก 3 ปี ถือว่าไม่เป็นธรรมตามหลักกฎหมายอาญาและหลักสิทธิมนุษยชน

“ฟังจากนักการทูตประเทศต่างๆ เขาไม่เห็นด้วยกับการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลระดับสูงในลักษณะที่หยาบคายดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะเห็นว่ามนุษย์ทุกคนต้องได้รับการปกป้อง แต่ถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงการแสดงความเห็นที่ไม่ไปกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือมุ่งโจมตีบุคคล แต่เป็นความเชื่อในทางการเมืองที่แตกต่างจากกระแสหลักของสังคมไทย และไม่ได้มีลักษณะยุยงก่อให้เกิดความเกลียดชังหรือรุนแรง น่าจะทำได้”

สิ่งสำคัญที่ต่างชาติไม่ค่อยสบายใจ คือ กลุ่มการเมืองจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคล้ายๆ ว่าพยายามดึงสถาบันมาในประเด็นที่ตัวเองขัดแย้งอยู่ เรื่องนี้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) คอป.เคยทำข้อเสนอไว้ชัดเจนมากกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องยกและเทิดทูนไว้เหนือการเมือง เหนือความขัดแย้ง และเชื่อว่าที่ตั้งข้อหา 112 ล้วนแต่เป็นประเด็นที่คนเหล่านี้มาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองทั้งสิ้น ถือว่าไม่ดีเลยต่อประเทศและสถาบันจึงควรหลีกเลี่ยง

“เหตุที่โทษ 112 สูง เพราะต้องยอมรับว่าเกิดจากการรัฐประหาร  6 ตุลาฯ รัฐบาลขณะนั้นได้แก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยการเพิ่มโทษขั้นต่ำ 3 ปี แต่ก่อนนั้นไม่มีโทษขั้นต่ำ แล้วก็เพิ่มโทษขั้นสูงเป็น 15 ปี อันนี้ก็ทำให้มีปัญหาในการที่จะกำหนดโทษทั้งๆ ที่การกระทำผิดในลักษณะเช่นนี้มีได้หลายๆ ลักษณะหรือหลายรูปแบบมีทั้งหนักและเบา แต่การกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ 3 ปี เกินไป สมมติว่าคนคนหนึ่งส่งเอสเอ็มเอสไปให้คนอีกคนหนึ่งที่เป็นข้อความผิดกฎหมายเพียงครั้งเดียวก็อาจจะโดนจำคุก 3 ปี ครั้งเดียวกับคนคนเดียว อันนี้ไม่เป็นธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายอาญาเพราะโทษต่างๆ ต้องได้สัดส่วนกันกับความหนักเบาจากการกระทำความผิด”

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเห็นทั้งการนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษ ก่อนอื่นต้องได้รับการยอมรับอย่างเปิดเผย หรือต้องเป็นขั้นตอนที่กระบวนการยุติธรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะว่าฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง จากการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือไม่ว่าจากการกระทำฝ่ายใด ย่อมต้องการความเป็นธรรม นั้นคือ ความจริง ว่าเหตุใดลูก สามี หรือภรรยาเสียชีวิตจากความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเหตุผลหนึ่งต้องการข้อเท็จจริง ต้องการคำขอโทษ ต้องการการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ดังนั้น ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อยู่ๆ จะมาออกกฎหมายแล้วให้ทุกอย่างจบลงคงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นการนิรโทษกรรมหรืออภัยโทษ เป็นเพียงวิธีการหนึ่งเท่านั้นแต่ต้องเป็นวิธีประกอบกับวิธีอื่นๆ ด้วย ข้อสำคัญ คือ ต้องถามคนที่ได้รับผลกระทบหรือคนที่สูญเสียจริงๆ ว่าคิดเห็น รู้สึกอย่างไร นี้คือสิ่งสำคัญมากในการให้หลุดจากความขัดแย้ง

อำนาจเบ็ดเสร็จ แก้ได้ไม่ทุกสิ่ง

สมชาย ยังได้วิพากษ์ถึงการที่ คสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาแก้ปัญหาต่างๆ ว่า ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือไอยูยู กับปัญหาค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ตัวเองทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ได้รับเรื่องร้องเรียนมาเป็นสิบๆ ปี แต่การแก้ปัญหากลับไม่ได้รับการแก้ไข ในอดีตถึงขั้นงัดปืนมายิงต่อสู้กัน เพราะบรรดาเรือเล็กต่างหาเช้ากินค่ำ ได้รับผลกระทบอย่างมากจากบรรดาเรืออวนรุนทำลายทรัพยากรทางทะเลอย่างมาก

เรื่องนี้รัฐบาลตระหนักแต่ผ่อนผันกันมาเรื่อยๆ 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี แม้ว่าจะมีกฎหมาย จนในที่สุดเกิดแรงกดดันจากต่างประเทศ จึงเริ่มที่จะกระตือรือร้นขึ้นมา เพราะว่าสมาคมประมงที่อยู่เยอะแยะมากมายที่มีอิทธิพลทางการเมืองและอิทธิพลทางกฎหมู่ด้วย เช่น ปิดอ่าว หากจำกันได้ปิดอ่าวกันมากี่ครั้งแล้ว แต่ไม่มีรัฐบาลชุดไหนเข้มแข็งพอที่จะจัดการกับปัญหานี้ แต่ต้องให้ต่างชาติเข้ามาจี้ ในแง่นี้ก็ดีต้องมาแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกให้ถูกต้อง และปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก สามารถตรวจสอบย้อนกลับและการควบคุมการทำประมงสามารถทำได้ด้วยระบบดาวเทียม ในการตรวจสอบน่านน้ำของตัวเองแม้แต่ส่องสำรวจเรือหรือลูกเรือขณะอยู่หาปลากลางทะเลได้ ว่าใบอนุญาตที่ให้ทำประมงทำถูกต้องประเภทหรือไม่ โดยจะมีศูนย์บังคับการเป็นฝ่ายตรวจสอบ

“ชาวบ้านที่อยู่ตามชายทะเล ซึ่งชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับประมงชายฝั่ง เข้าร้องเรียนมาเป็นสิบๆ ปี บางพื้นที่ร้องเรียนไปแล้วร้องเรียนไปอีกก็แก้ปัญหาไม่ได้ บางพื้นที่ถึงขนาดไปงัดปืนมาเป็นอาวุธยิงต่อสู้กันกับเรืออวนรุน เพราะชีวิตคนหาปลาพออยู่พอกินมันยากลำบากได้รับผลกระทบจากเรืออวนรุนที่ได้ทำลายทรัพยากรทางทะเลอย่างมาก แม้รัฐบาลจะตระหนัก แต่ผ่อนผันกันมาเรื่อยๆ แม้จะมีกฎหมาย และที่ผ่านมาปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายล้วนอยู่กลุ่มประมงภาคธุรกิจ แต่ปัจจุบันเพราะแรงกดดันจากการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดขึ้น ตลอดแนวชายฝั่งห้ามเรือใหญ่เข้ามาหาปลา และจากการได้พูดคุยกับผู้นำชุมชนในภาคใต้ พบว่าได้ผลทันทีทรัพยากรทางทะเลฟื้นกลับคืนมาอย่างรวดเร็วมาก เพราะธรรมชาติจะฟื้นฟูตัวเองเร็วมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญการบังคับใช้กฎหมายถือเป็นเรื่องสำคัญ และจริงๆ แล้วต้องขอบคุณอียูด้วยซ้ำไป ที่มาช่วยทำให้เราฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลได้ใช้กันอย่างยั่งยืน”

ยิ่งคดีค้ามนุษย์ถือเป็นปัญหาสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งตอนนี้ช่วยเหลือทางคดีอยู่ ต้องยอมรับว่าประเทศไทยหากินบนการค้าทาสมานานหลายปีแล้ว เหยื่อแรงงานทาสนับเป็นโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับมนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันรุนแรงขนาดนี้ ระบบทาส บังคับขูดรีดหรือยิงทิ้งแรงงานนั้นเอง ซึ่งคนที่เป็นเหยื่อไม่ใช่เฉพาะประเทศเพื่อนบ้านแต่คนไทยก็มีเช่นกัน ที่ตกระกำลำบากอยู่ในเรือนานนับปี

สิ่งหนึ่งอยากตั้งข้อสังเกต เพราะมีการกล่าวกันว่าต่างชาติ มักจะนำปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการค้ามนุษย์มาเป็นเรื่องกีดกันทางการค้า แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าประเทศเหล่านี้ต้องนำเข้าสินค้าประมงจากประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะประเทศเขาอยู่ในเขตหนาว คงไม่ได้มีประเด็นกีดกันให้สินค้าประเทศตัวเองขายได้

แต่สิ่งสำคัญที่ประเทศเหล่านี้ผลักดันเรื่องเหล่านี้ เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาจริงๆ กระทบกันทั่วโลก ปัญหาโลกร้อน และการค้ามนุษย์เป็นปัญหาจริงๆ จึงเกิดแรงผลักดันให้ประเทศผู้ซื้อในยุโรปและอเมริกา จำเป็นต้องออกมาตรวจสอบหรือยื่นเงื่อนไขให้ทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ต้องถูกตรวจสอบ เพราะทั้งประชาชนและเอ็นจีโอในประเทศเหล่านี้ล้วนมีสิทธิเสรีภาพ และเกิดการตื่นตัวในการรณรงค์ไม่บริโภคสินค้าที่ใช้แรงงานทาส

รายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ที่ไทยยังอยู่ในระดับต่ำสุด หรือเทียร์ 3 อันสืบเนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการทำประมงผิดกฎหมาย หรือไอยูยู  ทำให้ คสช.ใช้มาตรา 44 ด้วยการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเข้ามาบังคับใช้กฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่าการที่มีรัฐบาล คสช. แล้วใช้มาตรการเข้มงวดในบางเรื่องบางประเด็นถือว่าเป็นผลดี โดยเฉพาะเรื่องไอยูยูกับการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ หรือเรื่องล่าสุดเกี่ยวกับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปิดเหมืองทองคำ แต่การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในตัวของมันเองย่อมมีสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะลดผลเสียได้อย่างไรเพื่อให้ผลดีมีมากขึ้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระยะยาวไม่ดีแน่นอน เหมือนกับการบังคับคนไปเรื่อยๆ แบบบังคับอย่างเดียว ไม่ได้ปล่อยให้คิดเองทำเองรับผิดชอบเอง ซึ่งไม่มีผลดีในระยะยาวแน่นอน และข้อสำคัญ คือ การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ถ้าที่มา(รัฐบาล)ไม่ถูกต้อง คือ มาจากรัฐประหาร จะอยู่ได้ไม่ยั่งยืน และในที่สุดจะมีคนออกมาไม่เห็นด้วย แต่หากรัฐบาลที่มีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนมีสิทธิและมีส่วนร่วม มีกระบวนการตรวจสอบที่เรียกว่าหลักการแบ่งแยกอำนาจ หรือการถ่วงดุลอำนาจ และหรือการตรวจสอบจากฝ่ายตุลาการที่เป็นอิสระ รูปแบบนี้จะยั่งยืนมากกว่า

ดังนั้น หากจะใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ต้องมีที่มาที่ถูกต้องและผ่านการตรวจสอบได้จากศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้นกระบวนการประชาธิปไตยต้องให้เวลาในการเติบโตโดยต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน แต่จะมาตัดตอนแล้วใช้อำนาจเด็ดขาดเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะในที่สุดอำนาจก็จะคอร์รัปชั่นตัวมันเอง เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า Absolute Power Corrupts Absolutely เป็นคำกล่าวของลอร์ด แอคตัน ที่มีการอ้างบ่อยที่สุดคือเรื่องอำนาจทำให้คนเสียคน โดย ลอร์ด แอคตัน กล่าวว่า “อำนาจมีแนวโน้มที่จะทำให้คนเสียคน  และอำนาจเด็ดขาดจะทำให้คนเสียคนเด็ดขาดยิ่งขึ้น” หรือ Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely

 

Leave a comment