เขียนรัฐธรรมนูญให้ตาย ก็ปราบโกงไม่ได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 พฤษภาคม 2559 เวลา 20:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/434729

เขียนรัฐธรรมนูญให้ตาย ก็ปราบโกงไม่ได้

โดย…สุภชาติ เล็บนาค

เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ ชำแหละร่างรัฐธรรมนูญอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งก่อนจะลงประชามติในอีก 2 เดือนข้างหน้า

ปูนเทพ บอกว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทำลายโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่ควรจะถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ แต่รัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับปี 2550 กลับกลายเป็นสถาปนาอำนาจขององค์กรตรวจสอบให้เหนือกว่าฝ่ายการเมือง แล้วเป็นการตรวจสอบข้างเดียวโดยมีอำนาจมาก คือสามารถเอาคนที่มาจากการเลือกตั้งให้พ้นจากตำแหน่งได้ โดยที่องค์กรที่เอาออกไม่ได้มีความชอบธรรมอะไรพอ รวมถึงไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ

“ถ้าจะบอกว่าต้องมีองค์กรพวกนี้เพื่อแก้ระบบการเมืองที่ล้มเหลว ก็ต้องตอบว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ก็มาจากกรอบคิดเดียวกัน แต่หลังจากนั้นมันก็ชัดเจนว่าไม่ได้ตอบโจทย์ เพราะปัญหาการเมืองมันซับซ้อนมากกว่านั้นมาก ก็ต้องไปแก้ตัวโครงสร้างว่าทำยังไงให้ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ รับผิดชอบต่อประชาชนมากขึ้น มีการจัดโครงสร้างที่เป็นธรรมมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำ”ปูนเทพ ระบุ

เมื่อเทียบกับฉบับที่แล้ว นี่คือการ “ถอยหลัง” ที่หนักกว่าเดิม เพราะนอกจากอำนาจบริหารและนิติบัญญัติจะถูกจำกัด “กรอบการทำงาน” เต็มไปหมดแล้ว ยังมีถ้อยคำแปลกๆ เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องมีมาตรฐานจริยธรรม รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเปิดช่องให้เกิดการตีความโดยตุลาการและองค์กรอิสระ รวมถึงให้พื้นที่ให้องค์กรเหล่านี้ เข้ามาเอานักการเมืองออกไปโดยง่าย

“เรื่องจริยธรรม ความซื่อสัตย์ มันเป็นเกณฑ์ทางศีลธรรม ไม่ควรเอามาเขียนในกฎหมาย เช่น คุณบอกว่าคุณเป็นคนดี ดีแบบไหน ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์แบบพุทธ หรือแบบคนไม่มีศาสนาจะสุจริตได้ไหม การเขียนคำแบบนี้ไม่สามารถหามาตรฐานทางกฎหมายได้”ปูนเทพ ระบุ

ส่วนการเลือกตั้ง “บัตรเดียว” เขาเชื่อว่าสุดท้ายจะสร้างปัญหามากกว่าเดิม เริ่มจากระบบเลือกตั้งที่บัตรเลือกตั้งลดเหลือใบเดียว เพราะประชาชนจะไม่สามารถแยกระหว่าง “พรรค” กับ “คน” ได้อีก เนื่องจากคะแนนเสียงถูกคำนวณตามสัดส่วนของบัตรใบเดียว ยิ่งไปกว่านั้น หากพรรคไม่มีประสิทธิภาพพอในการส่งคนลงทุกเขตเลือกตั้ง คะแนนที่ได้ก็จะน้อยลง

ที่หนักกว่าคือที่มาของ สว. นักวิชาการจากกลุ่มนิติราษฎร์ มองว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเป็นตัวแทนประชาชนแม้แต่น้อย ตั้งแต่ในบทเฉพาะกาลที่ให้ สว.มาจาก คสช.ทั้งหมด และหลังจากนั้นก็ให้เลือกไขว้กันระหว่างกลุ่มอาชีพ คำถามคือประเทศไทยมีแค่ 20 กลุ่มอาชีพจริงหรือ แล้วอาชีพที่ถูกเลือกมาเป็นตัวแทนจริงหรือไม่

“ในระบบเลือกตั้งปกติ แม้เราจะไม่ได้อยากเป็นนักการเมือง แต่ก็มีสิทธิเลือก มีระบบตัวแทน แต่ภายใต้ระบบนี้คุณต้องกระโดดไปเป็นผู้สมัคร ถ้าอยู่เฉยๆ จะไม่มีสิทธิอะไรเลยในกระบวนการ มันเป็นระบบที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในฐานที่ว่าทุกคนควรจะมีสิทธิเลือก คือโอเค คุณอาจจะบอกว่าทุกคนเข้ามาสมัครได้ แต่ถามว่าทำไมเราต้องเรียกร้องให้ทุกคนเข้ามาในวงจรนี้ก่อน”

ส่วนข้อเสนอที่บอกว่าต้องการดึงทุกกลุ่มเข้าไปแก้ปัญหาในสภา ไม่ให้นำไปสู่ “รัฐประหาร” อีกครั้งนั้น ข้อเท็จจริงก็คือการเอา “ทหาร” ให้เข้ามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ เช่น ให้เป็น สว.โดยตำแหน่ง 5 ปี แต่ถ้าย้อนกลับไปปี 2535 หลักเกณฑ์นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการ “สืบทอดอำนาจ”

“คำถามคือทำไมต้องมีทหาร ทหารรู้ทุกเรื่องในการตัดสินใจหรือเปล่า แล้วเหตุผลที่อ้างก็ตลกในตัว เช่น ไม่งั้นทหารจะรัฐประหาร แสดงว่ามันมีความจำเป็น มีเส้นแบ่งที่ทหารสามารถรัฐประหารได้ คนร่างรัฐธรรมนูญที่คิดแต่ต้นว่าทหารสามารถฉีกรัฐธรรมนูญได้ เอาทหารเข้ามาดีกว่า มันเป็นความคิดพื้นฐานที่ผิดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะรัฐประหารไม่มีทางสมาทานกับรัฐธรรมนูญได้ และไม่มีทางเข้ากับหลักการประชาธิปไตยได้” ปูนเทพให้ความเห็น

เช่นเดียวกับการสร้างกลไก “ที่ประชุมร่วม” เพื่อแก้วิกฤตนั้น เขาเห็นว่าสุดท้ายก็ไม่ต่างกับการทำรัฐประหารโดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะหากที่ประชุมต้องการเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนนายกฯ โดยการให้คนอื่นที่ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ สส. ก็สามารถเอา ผบ.ทบ.เป็นนายกฯ ได้ โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ คือพูดด้านดี ด้านบวก ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามว่าอำนาจเหล่านี้  “ชอบธรรม” อย่างไรในการเข้ามาแก้วิกฤต

“เวลาร่างมันคือการเซตซีโร่ มันคือบิ๊กแบงทางการเมือง องค์กรที่มีความชอบธรรมต้องออกแบบให้เข้ามา แต่องค์กรที่ไม่ชอบธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยที่เข้ามาแล้วทำให้ไม่มีเสถียรภาพ ต้องเอาออกไป นี่คือโจทย์ที่ต้องทำ ไม่ใช่หาทางออกจากประชาธิปไตย” ปูนเทพ ระบุ

ส่วนเหตุผลเรื่องการจัดการระบบการเมืองที่ล้มเหลว คอร์รัปชั่นนั้น เขาบอกว่าข้ออ้างเหล่านี้เกิดขึ้นทุกครั้ง ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญปี 2521 2534 2540 หรือ 2550 แต่ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เวิร์ก ปัญหาเดิมๆ ในที่สุดก็กลับมาอีกครั้ง

“ผมยืนยันว่าเขียนให้ตายยังไงก็ไม่สามารถปราบโกงได้ ถ้าไม่ปรับโครงสร้างการตรวจสอบให้ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ประชาชนมีส่วนร่วม ข้อมูลต้องเปิดเผย แล้วการโกงมันไม่ใช่นักการเมืองอย่างเดียวที่โกง ทุกคนโกงได้หมด แล้วเราจะมีองค์กรเทวดาคุณธรรม มาตรวจสอบฝ่ายเดียวหรือ ไม่ใช่คิดแต่ว่ามีแต่กลุ่มนี้ที่โกง แล้วมีเทวดาจากไหนไม่รู้มาตรวจสอบ สุดท้ายฐานคิดในการปราบคอร์รัปชั่น ก็คือต้องเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทุกฝ่ายต้องถูกตรวจสอบได้” ปูนเทพ กล่าว

ปัญหาอีกอย่างก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สร้างกรอบขึ้นมาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ “ปฏิรูป” ที่ต้องทำตามกรอบของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เท่านั้น เช่นเดียวกับกรอบยุทธศาสตร์อนาคตประเทศ 20 ปี ที่ล็อกไว้ให้รัฐบาลที่เข้ามาหลังจากนี้ต้องทำตาม ทำให้สุดท้ายรัฐบาลจะไม่เหลืออำนาจตัดสินใจใดๆ เลย แม้ว่าจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนมาก็ตาม

“ฟังก์ชั่นของการเลือกตั้ง คือ 1.เขาไปรับฟังปัญหาจากประชาชน แล้วไปทำเป็นนโยบาย กับ 2.พรรคการเมืองสร้างนโยบายมา แล้วได้รับอนุมัติจากประชาชนให้ทำตามนโยบาย แต่ด้วยกรอบนี้ เขาจะติดกรอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทั้งหน้าที่ของรัฐ ทั้งการปฏิรูป”

“นโยบายมาจากฝ่ายบริหาร ข้าราชการทำตาม แต่รัฐธรรมนูญใหม่จะเขียนว่า นโยบายมาจากรัฐธรรมนูญ เขียนรายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด รัฐบาลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ทำก็อาจขัดรัฐธรรมนูญ ถูกยื่นตีความ สุดท้ายเราก็จะได้รัฐบาลที่มีหน้าที่คล้ายข้าราชการเท่านั้น” ปูนเทพ ระบุ

 

Leave a comment