ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
05 มิถุนายน 2559 เวลา 10:37 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/435744

โดย…ปอย ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
“…จะตั้งใจเรียนปริญญาต่อให้จบ แล้วอยากเป็นนักเขียนค่ะ ชอบอ่านนวนิยาย โสภาค สุวรรณจอมอ่านงานของนักเขียนท่านนี้ทุกเรื่อง นวนิยายของโรสลาเรนก็อ่านครบค่ะ รอยอินทร์ชอบมาก สนใจงานเขียน (บอกพร้อมรอยยิ้ม) จอมเขียนบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาลงเป็นบันทึกลงบล็อก https://storylog.co/lulla ใช้นามปากกา ‘ลุลลา’ ชอบเขียนลงบล็อกรู้สึกเป็นส่วนตัวกว่าเขียนลงเฟซบุ๊ก เราปลดปล่อยได้เต็มที่ อยากเขียนอะไร อยากระบายเรื่องไหนก็เขียนลงไป
เริ่มเขียนตั้งแต่ก่อนป่วยเมื่อต้นปีที่แล้ว เรื่องดาร์กมาก ถ้าใครเป็นแฟนตัวหนังสือลุลลา ก็จะได้รู้เหตุการณ์ตั้งแต่เธอป่วยกระทั่งอาการดีขึ้น ตอนนี้เรื่องราวจะมองโลกใสขึ้นแล้วค่ะ” จอมเทียน เริ่มต้นสนทนาและจบประโยคท้ายด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ดูผ่อนคลาย
งานเขียนในโลกออนไลน์ นอกจากการเป็นไดอารี่บทบันทึกประจำวันของ จอมเทียน จันสมรัก หญิงสาวหน้าตาลูกครึ่งรูปร่างผอมบางนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาวน้อยวัย 20 ปี บอกเล่าเรื่องราวการพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งหลายหน การเริ่มเขียนนอกจากหลงใหลตัวอักษรอย่างสุดหัวใจ แล้วยังต้องการใช้ช่องทางนี้สื่อให้สังคมเข้าใจข้อมูลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมเครียดๆ
ข่าวการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยซึมเศร้า หลายๆคนยังขาดความเข้าอกเข้าใจ และมองว่าเป็นกลุ่มคนเจ้าปัญหา ไม่เห็นคุณค่าชีวิตตัวเอง จอมเทียนในฐานะคนป่วยขอแชร์ประสบการณ์นี้ ในเบื้องต้นใช่ว่าจู่ๆ ก็ป่วย แล้วระเบิดกรี๊ดทำร้ายตัวเอง แต่เกิดได้ตั้งแต่การเลี้ยงดูในครอบครัว ชีวิตในวัยเด็กๆ เธอต้องเรียนรู้วิธีรับมือกับปัญหาของแม่ที่ป่วยเป็นโรคประสาท และอีกหลายๆ ปมทับซ้อนเป็นเงื่อนตายยากแก้คลายได้โดยง่าย

‘9 ขวบ เห็นคุณแม่โดนจับไปโรงพยาบาล’
ยอดฟอลโลว์ร่วมหมื่นคน แฟนคลับมีตั้งแต่วัยใสวัยเดียวกัน ไปจนถึงคุณป้าวัย 60 กว่าปีที่เข้ามากดไลค์ให้กำลังใจสาวน้อยนิสิตนักเขียนสม่ำเสมอโรคซึมเศร้า เปรียบไปแล้วก็ไม่ต่างกับกำแพงสูงลิบลิ่วที่กั้นขวางผู้ป่วยกับสังคมภายนอกไว้ได้อย่างแน่นหนา จอมเทียนปวารณาขอใช้พรสวรรค์ด้านงานเขียนทลายกำแพงหนาหนักนี้ให้ได้ทีละน้อย โดยมุ่งหวังให้เพื่อนบนโลกออนไลน์แชร์ข้อมูลกันและกันด้วยความเข้าอกเข้าใจผู้ป่วยในโรคนี้เพิ่มมากขึ้น
“จอมชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก นิสัยนี้ต้องขอบคุณคุณแม่ค่ะ ตอนเด็กจนถึง 9 ขวบ จอมไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะแม่ป่วยเป็นโรคประสาท แม่เป็นห่วงและหวงเรามาก ไม่ให้เราไปโรงเรียน แม่จึงสอนลูกเองที่บ้าน จอมเป็นลูกสาวคนเดียวค่ะ เกิดมาก็เห็นแม่ป่วยแล้ว ส่วนคุณพ่อเป็นชาวเยอรมนี และย้ายกลบั ประเทศ เพราะรับมอื และทนอาการปว่ ยของแม่ไม่ไหว แต่จอมก็ไม่โกรธท่านนะคะ เพราะมันคงดีกว่าถ้าพ่ออยู่แล้วมีแต่เสียงทะเลาะเบาะแว้ง หรือมีความรุนแรง พ่อติดต่อเราตลอด คือพ่อไม่คุยกับแม่คุยแต่กับเรา
“จำได้ชัดค่ะ วันที่แม่ถูกมัดไปโรงพยาบาล แม่ถือมีดไปตะโกนกลางถนน เพราะเครียดที่เห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจมากันเยอะ เพราะมีบุคคลสำคัญผ่านบ้านเรา แม่ก็กลัวว่าคนจะมาจับ ซึ่งเป็นความคิดในหัวตลอดเวลาของผู้ป่วยโรคประสาท พอแม่กรีดร้องตะโกนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาดูว่ามีเหตุการณ์อะไร แล้วจับแม่แบบยื้อยุดฉุดกระชากไปส่งโรงพยาบาล นั่นคือภาพแรกที่น่ากลัวของเด็ก 9ขวบ แล้วจากนั้นก็มีญาติมารับจอมไปดูแล และเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้อยู่กับแม่
“จอมมาอยู่กับคุณป้าพี่สาวแท้ๆ ของแม่ โดยมีพี่สาวลูกของป้าดูแลมัดผมถักเปียไปโรงเรียนทุกๆวัน ปัญหามีอย่างเดียวค่ะ คือ พูดไม่ชัด เพราะโลกของจอมมีแม่เพียงคนเดียว อยู่บ้านกับแม่ เรียนหนังสือกับแม่ทุกๆ วัน พอเข้าโรงเรียนก็ได้ขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 เลย สังคมเปลี่ยนไป ได้เจอเพื่อนๆการพูดสื่อสารก็ดีชัดขึ้นเรื่อยๆ ส่วนแม่พอใกล้หมอได้รับยาต่อเนื่องอาการก็ดีขึ้นเช่นกัน เพราะการที่แม่อาการไม่ดีคลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะท่านไม่กินยา ซึ่งเป็นอาการของคนป่วย กินยาไปสักพักก็จะปฏิเสธการกินยา และคิดว่าดูแลรักษาตัวเองได้
“แม่เป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเองสูงค่ะ เช่น ความคิดเห็นทางการเมือง แม่ก็จะคิดจะเขียนวิพากษ์วิจารณ์ในสมุดได้เป็นเล่มๆ เลย ชอบอ่านหนังสือ ชอบใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่สุงสิงกับใคร ชอบดูแลบ้าน เย็บปักถักร้อย ซึ่งอาชีพของท่านก็คือช่างเย็บผ้า จอมคิดว่าแม่คือผู้หญิงสวยอ่อนหวานที่พ่อรักนะคะ (บอกพร้อมรอยยิ้ม) แต่พ่อไม่สามารถรับสถานการณ์เวลาแม่ป่วยหนักได้ เพราะน่ากลัวมาก แม่ป่วยก่อนได้เจอคุณพ่ออีกค่ะ ทนทุกข์ทรมานกับอาการ Paranoid Schizophreniaมายาวนาน แล้วช่วงแม่ท้องจอมอาการก็แย่ลงๆ จนพ่อรับไม่ไหว
“ช่วงแม่รักษาโรงพยาบาลจิตเวช จอมเป็นเด็กรู้สึกว่าเป็นสถานที่น่ากลัวและอยากหลีกให้ไกลที่สุดเพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อสภาพจิตของผู้ป่วยทุกเตียงมีแต่ผู้ป่วยอาการหนักแปล้ทั้งนั้น แล้วถ้าคนเริ่มป่วยเข้าไปอยู่ร่วมก็รับรองว่าป่วยหนักเข้าไปใหญ่เมื่อกลับมารักษาตัวที่บ้าน แม่ก็กลับไปที่จุดเดิมอีกค่ะ คือเริ่มปฏิเสธยา ซึ่งเป็นช่วงที่จอมย้ายมาอยู่หอเพราะเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์ปี 2 แล้วค่ะ ไม่มีคนดูแลแม่คอยบังคับให้แม่กินยาจริงจัง อาการก็เริ่มวนกลับมาแย่ลูปเดิมอีก จอมกลับไปบ้านก็เห็นของที่แม่สะสมไว้เยอะมาก ขวดน้ำเมล็ดพืช แล้วพีกสุดๆ คือแม่เลี้ยงแมวแล้วเลียนแบบพฤติกรรมแมวที่ฉี่รอบบ้าน แม่เริ่มมีความหวาดระแวงสูงมาก สะสมปัสสาวะตัวเอง แล้วราดรอบบ้านเพื่อสร้างอาณาเขตตัวเอง
“หมอประจำตัวแม่ก็ให้คำปรึกษาว่า การกินยาเพียงอาทิตย์ละ 1 ครั้งที่จอมกลับบ้าน กลับยิ่งแย่เพราะอารมณ์ยิ่งสวิงกลับไปกลับมา สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 20 ปี มันเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจมากที่จะบังคับให้แม่กินยาให้ได้ แม่ก็พร่ำซ้ำๆ อยู่แค่ว่าทำไมต้องทำร้ายแม่ๆๆ หมอก็สรุปฉีดยา จอมก็ขู่ว่าถ้าแม่ไม่ไปอนามัยให้เจ้าหน้าที่ฉีดยา จอมจะเรียกตำ รวจมาจับแม่ไปอยู่โรงพยาบาล ก็เลยยอมไป กลัวโรงพยาบาลกลัวตำรวจ กว่าจะฉีดยาได้แม่ก็กรีดร้องร่ายกฎหมายเป็นร้อยๆ ข่มขู่เจ้าหน้าที่ (หัวราะ) แต่ในที่สุดอาการแม่ก็ดีขึ้นค่ะ
“ส่วนตัวเองเหนื่อยใจมากจนต้องไปปรึกษานักจิตวิทยา ซึ่งบอกว่าให้แยกโลกของแม่ และโลกของเราให้ได้ แล้วความที่จอมชอบอ่านก็ยิ่งค้นคว้าหาหนังสือจิตวิทยาอ่าน เพื่อหาคำตอบช่วยแก้ไขปัญหาชีวิต” จอมเทียน เล่าย้อนไปวันหนักหนา ซึ่งในวันนี้แม่อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่เหมือนสลับร่างกับลูกสาวอย่างน่ากังวล

‘เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ’ อีกปมในใจ
จอมเทียน เล่าต่อว่า แม่กลายเป็นผู้หญิงอ่อนหวานสงบเงียบที่เธอไม่เคยคุ้น นั่งอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวได้ทั้งวัน
“ก็ช็อกค่ะ จู่ๆ ได้แม่ใหม่มาหนึ่งคน รู้สึกเริ่มเคว้งคว้าง จากที่เรารู้สึกเรามีภาระยิ่งใหญ่ที่ต้องดูแลแม่คนสำคัญที่สุด กลายเป็นว่าไม่มีภาระนั้น ไม่มีอะไรต้องทำอีกต่อไปแล้ว อาการทางกายเริ่มแสดงออกด้วยการนอนทั้งวันเลยค่ะ เริ่มทำงานไม่ทัน เพราะเด็กครุฯต้องมีงานส่งเยอะมากๆ ต้องทำงานดึกๆ งานก็ทำไม่ทันส่งอาจารย์ งานค้างส่งก็ยิ่งเครียดยิ่งกดดันเดดไลน์ไล่เข้ามา เริ่มกินไม่ได้ นอนอย่างเดียว ผอมเสิร์ชกูเกิลอาการโรคซึมเศร้าเป็นอย่างไร ก็เป๊ะเลย(หัวเราะ)
กว่าจะเอาตัวเองออกจากที่นอน เพื่อไปหาหมอจองคิวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตอนเวลา 05.30 น.ก็ปล่อยเวลาไปนานเลยค่ะ ก็เริ่มรับยามากิน
“ช่วงนั้นก็เริ่มพยายามหาความสุข เอาตัวเองไปผ่อนคลายด้วยการออกไปเที่ยวกลางคืน เริ่มหัดดื่มจนมึน พอกลับหอไม่ไหวก็ค้างหอเพื่อนสนิทกันมากที่เป็นผู้ชาย แต่วันนั้นเราไปกันเป็นกลุ่มมีแฟนเพื่อนของเราก็ไปด้วย แล้วเพื่อนสนิทก็พยายามล่วงเกินเราแต่ก็รอดมาได้ด้วยการล็อกตัวเองหนีไปอยู่ในห้องน้ำจนเช้า แล้วบอกเขาว่าเราผิดเองที่เอาตัวเองมาเสี่ยงจอมก็อยากบอกผู้หญิงด้วยกันนะคะ ว่าไม่ควรพาตัวเองไปอยู่สถานการณ์แบบนี้ จากนั้นก็รู้สึกแย่ๆ ชาๆมาตลอดเลยค่ะ” จอมเทียน เล่าด้วยสีหน้าเรียบสงบซึ่งเธอเคยบันทึกว่าเหมือนฝุ่นเล็กๆ สะสมเรื่อยๆ ให้อาการป่วยโรคซึมเศร้าเพียบแปล้ขึ้น
“พอปิดเทอมอาการซึมเศร้าก็เริ่มแสดงตัวชัด คิดซ้ำๆ ฉันทำอะไรบ้างนะ ตัดภาพมาอีกทีก็เป็นฉากที่แม่ตอนอาการหนักมากเขวี้ยงโทรศัพท์ที่เราซื้อให้ลงกับพื้น แล้วไล่เราออกจากบ้าน เปิดฉากชีวิตเที่ยวกลางคืนจนเกือบพลาดก็วนซ้ำมาอีก แล้วภาพที่เราเคยถูกพี่ชายลูกพี่ลูกน้องล่วงเกินในแบบนี้ ในตอนเด็กช่วงแม่ไปอยู่โรงพยาบาล ก็หมุนมาซ้ำอีก เป็นอีกปมที่เราอยากเคลียร์กับพี่คนนี้ให้ได้ แต่จนวันนี้ก็ไม่เคยคุยกัน
คือตลอดชีวิตจอมไม่ได้ถูกกอดหรือสัมผัสผู้ชายพ่อก็ไม่เคยได้กอดนะคะ อยู่กับแม่มาตลอด มาเจอผู้ชายก็เจอแต่ด้านแย่ๆ ทำให้กลายเป็นภาพลบเกาะแน่นในใจ
“ภาพพวกนี้สลับไปมา จนเบลอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรคิดอะไรในตอนนั้น หมอให้ยามากินและก็ได้ผลข้างเคียงของการกินยาต้านเศร้า เบื่ออาหารน้ำหนักลดจาก 60 เหลือต่ำสุด 48 กก. คลื่นไส้ อาเจียน จนก้าวสู่อาการทำร้ายตัวเองจนโอเวอร์โดสยานอนหลับที่หมอให้ แล้วฟื้นอีกทีในวอร์ดจิตเวชโรงพยาบาลจุฬาฯ และกลายเป็นผู้ป่วยในที่ต้องอยู่ในสายตาหมอ 24 ชั่วโมงนอนโรงพยาบาล 3 อาทิตย์ การเรียนก็ไม่ทันเพื่อนสมองหลั่งสารความเครียดตลอดเวลา โรคซึมเศร้าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาอย่างเดียวค่ะ หมอต้องบำบัดทั้งจิตใจมีอะไรขุดปมออกมาให้หมด
“หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลคือของจริงค่ะ(บอกพร้อมรอยยิ้ม) คือช่วงพิสูจน์ว่าเราจะใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้ไหม สร้างสถานการณ์ทำร้ายตัวเองได้ทุกๆ อาทิตย์ค่ะ เครียดมากเรียนตามเพื่อนไม่ทันเสียที ก็ทำร้ายตัวเองตั้งแต่โอเวอร์โดสยา นั่งจิบแชมพูครีมนวดผมเป็นแก้วๆ (ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ) รูมเมทเครียดมาก เพื่อนๆ ก็บอกถ้าจะฆ่าตัวตายอีกก็รอไปให้เราห่างๆ กันอีกสัก 1 ปีนะ คำพูดนี้ทำให้เราไม่เปิดใจปิดล็อกคนอื่น ใครก็ช่วยไม่ได้ เหลือแต่ดูแลตัวเองเท่านั้น
“พีกที่สุด ก็คือกินยานอนหลับไป 70 กว่าเม็ดแล้วพาตัวเองเดินไปห้องฉุกเฉินให้หมอล้างท้องด้วยตัวเอง เป็นการวางแผนตัดขาดจากสังคมโดยสิ้นเชิงทำไมต้องทำร้ายตัวเองวันนี้ก็ตอบไม่ได้ค่ะ รู้ตัวหรือไม่ หมอถามรู้ทั้งหมดเลยนะคะ ไปหาซื้อยาที่ไหน กินไปกี่เม็ดตอบได้หมด
“แล้วที่จอมเขียนเล่าไปค่ะ ว่าตอนที่มือเท้าชานั่งอยู่ในห้องสมุดไม่มีแรงเขียนหนังสือ พอเดินไปหาหมอก็ได้เจอรุ่นพี่นิสิตแพทย์ ก็บอกว่า…พี่หนูกินยานอนหลับไปนะคะ 70 กว่าเม็ด ป่วยซึมเศร้า เขาก็รีบจับมือเราแล้วบอกพี่ก็ป่วยเหมือนกัน เขาคือคนที่รีบไปบอกหมอแล้วโดนจับล้างท้องทันที มันทำให้รู้ว่าการสื่อสารระหว่างคนป่วยกับคนป่วยดีที่สุดเลยค่ะ เพราะเข้าอกเข้าใจกันดีมากกว่าคนปกติที่ไม่ป่วย ความรู้สึกนั้นมันไม่โดดเดี่ยวแล้ว เขาห่วงใยเราจริงๆ ช่วงล้างท้องก็ไม่ต่อว่าเราเลยว่าทำตัวไม่ดี
“ดร็อปเรียนเมื่อปี 3 เทอม 1 จนตอนนี้กลับมาเรียนเหมือนเดิมแล้ว และพยายามสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองอีก หันมาเลือกให้ความสนใจกับสิ่งที่ชอบ เขียนบล็อก สื่อสารทางเฟซบุ๊กถ่ายทอดประสบการณ์การป่วย การรักษา เขียนด้านดีที่ได้จากโรคซึมเศร้าเช่น การเข้าวอร์ดก็ได้เรียนรู้การนวดผ่อนคลาย(หัวเราะ) ได้หัดทำขนม เย็บปักถักร้อย ที่สำคัญหมอสอนให้คนไข้ลำดับความสำคัญในชีวิตให้ได้
“สำหรับจอมหรือคะ?… คนสำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่แม่ค่ะ (บอกด้วยรอยยิ้มมั่นใจ) แต่คือตัวเองค่ะเราต้องรักและเอาตัวเองเป็นที่หนึ่งให้ได้ ถ้าจอมยึดแม่เป็นที่หนึ่ง แล้วถ้าวันหนึ่งความไม่จีรังไม่มีแม่ล่ะเราจะอยู่อย่างไร?
“เราอย่าหาคุณค่าของตัวเองจากคนอื่น แต่ไม่ใช่การปิดกั้นตัวเองนะคะ พอจอมเปิดเรื่องของตัวเองก็กลายเป็นว่าเราได้รับการเปิดใจตอบกลับด้วยเช่นกัน”จอมเทียน บอกพร้อมรอยยิ้มว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปิดบาดแผลของเราให้คนอื่นรับรู้
แต่การได้พูดได้เขียน ได้บอกชาวป่วยด้วยกันอย่าซ่อนตัวอยู่ในเปลือกหนา อย่าร้องไห้คนเดียวถ้าโมโห ถ้าเศร้า ก็แสดงออกไปเลย ถ้าไม่ไหวก็บอกออกไปบ้าง การพูดการเขียนวันนี้ก็ขอแค่ให้ได้อานิสงส์ ช่วยลด 60% ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าฆ่าตัวตายสำเร็จ