ชงตั้งผู้พิพากษาเฉพาะ แก้ปัญหาคดีผู้บริโภคล่าช้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 กรกฎาคม 2559 เวลา 06:49 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/441404

ชงตั้งผู้พิพากษาเฉพาะ แก้ปัญหาคดีผู้บริโภคล่าช้า

โดย…nวิรวินท์ ศรีโหมด

หลายครั้งที่สินค้าและบริการเกิดปัญหา ผู้บริโภคมักจะอยู่ในอาการมืดแปดด้านด้วยไม่รู้ว่าจะใช้ช่องทางใดพิทักษ์สิทธิอันพึงมีของตัวเอง ที่สุดแล้วจึงตกเป็นเหยื่อและอยู่ในฐานะผู้เสียเปรียบมาโดยตลอด

แม้ว่าจะมีการทำคลอด พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยคุ้มครองให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และเปิดช่องให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการสามารถฟ้องร้องกันได้ เช่น สินค้าไม่ได้มาตรฐาน โดยผู้บริโภคสามารถฟ้องคดีได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม

นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการขั้นตอนที่ทำให้การพิจารณาคดีมีความรวดเร็วขึ้น และสามารถประนีประนอมก่อนการพิจารณาคดีได้ และให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความเสียหายที่แท้จริง

ทว่า ข้อเท็จจริงจากเวทีเสวนา 8 ปีบทเรียนการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าแม้หลักการของกฎหมายจะเป็นเรื่องดี แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องการบังคับใช้และบริบทในสังคมไทย

ญาณินี ไผ่ดีนุกูล นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยอมรับว่า พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มีประโยชน์มาก แต่ในแง่การบังคับใช้นั้นศาลยังให้น้ำหนักกับหลักการพิจารณาคดีแบบแพ่งทั่วไปมากกว่า เป็นเหตุให้การตีความในคดีผู้บริโภคไม่มีความชัดเจน การคุ้มครองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายจึงเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

“ควรมีศาลที่ชำนาญการพิเศษเฉพาะในการตัดสินคดีของผู้บริโภคโดยตรง เพื่อให้การพิจารณาคดีมีความครอบคลุมเข้าถึงเพื่อเกิดประโยชน์แท้จริงกับผู้บริโภค” ญาณินี เสนอแนะจากประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่มีการบังคับใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว

รังสรรค์ วิจิตรไกรสร รองประธานศาลอุทธรณ์ อธิบายว่า แต่ละปีมีคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมากกว่า 1 ล้านคดี แต่มีผู้พิพากษาเพียงกว่า 5,000 คนเท่านั้น ขณะที่การพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับผู้บริโภคถือเป็นเรื่องใหม่ จึงคิดว่าคดีที่เกี่ยวกับผู้บริโภคควรมีผู้พิพากษาเฉพาะในการพิจารณาคดีผู้บริโภคโดยตรง

“กฎหมายมีประโยชน์และเขียนไว้ดีแล้ว ส่วนการบังคับใช้จะดีหรือไม่อย่างไรขึ้นอยู่ที่ผู้ใช้กฎหมายต้องร่วมกัน ไม่ควรผลักภาระมาที่ศาลฝ่ายเดียว ดังนั้นผู้ที่เสียหายควรนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วนมากที่สุดเพื่อศาลจะได้รับรู้ปัญหาและนำไปประกอบการพิจารณา” รองประธานศาลอุทธรณ์ ระบุ

สอดคล้องก้บ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่อภิปรายว่า พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มีประโยชน์มากในการช่วยฟ้องคดี ช่วยลดความยุ่งยาก แก้ปัญหาความล่าช้า และช่วยพิสูจน์ตรวจสอบให้มีความชัดเจนมากขึ้น แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังเป็นปัญหา เช่น การให้ผู้บริโภคไปฟ้องร้องเอง

“ส่วนตัวคิดว่าควรมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาช่วยตรวจสอบก่อนฟ้องร้อง เช่น กรณีที่เกี่ยวกับการแพทย์ เพื่อเป็นการทำให้เรื่องนี้มีความชัดเจนครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” สารี กล่าว

ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เล่าว่า เมื่อผู้บริโภคมีปัญหาทางการแพทย์ก็จะให้แพทยสภาเป็นผู้ตัดสิน ส่วนตัวมองว่าเป็นการผลักภาระให้กับโรงพยาบาลและแพทย์ ขณะที่ผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้บริโภคจะประสบปัญหาทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูง ไม่มีงบและที่ปรึกษาในการดำเนินคดี ใช้เวลานานในการเรียกร้องความเป็นธรรม บางครั้งถูกบีบข่มขู่ด้วยวาจา หรือแม้แต่ถูกกลั่นแกล้งเมื่อเข้ารับการรักษา จึงทำให้หลายรายรู้สึกท้อในการสู้คดี

ดังนั้น การแก้ปัญหาของผู้บริโภคทางด้านการแพทย์ ควรมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นกลไกในการเรียกร้องความเป็นธรรมของคนไข้ ซึ่งขณะนี้มี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบการรักษาทางด้านสาธารณสุขแล้ว กำลังอยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต สว. ในฐานะผู้เสียหายที่เคยใช้กฎหมายฉบับนี้เรียกร้องสิทธิผู้บริโภค เล่าว่า เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ขณะใช้บริการท่าอากาศยานและสายการบินพบว่าเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินกลับไม่ตรวจความปลอดภัยผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง โดยให้เหตุผลว่าไม่มีอุปกรณ์เนื่องจากหน่วยงานอื่นยืมไป

เป็นเหตุให้ตัดสินใจฟ้องคดีกับท่าอากาศยานและสายการบินเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับสังคม โดยศาลชั้นต้นตัดสินให้ชนะคดี แต่ศาลอุทธรณ์และฎีกายกฟ้อง แต่ส่วนตัวก็ได้ยื่นขอให้ศาลฎีกาทบทวนคำสั่ง เนื่องจากมองว่ากรณีนี้ผู้โดยสารทุกคนถูกละเมิดสิทธิ

“การแก้ปัญหานี้ควรมีสถาบันองค์กรเฉพาะเข้ามาช่วยเหลือฟ้องแทนผู้บริโภค เพราะถ้าให้ผู้บริโภคฟ้องด้วยตัวเองก็จะรู้สึกว่าท้อในการสู้คดี” เจิมศักดิ์ กล่าว

 

Leave a comment