ผศ.ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ยุคนี้ต้องกินแก้(พฤติกรรม)กรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 กันยายน 2559 เวลา 11:47 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/452462

ผศ.ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ยุคนี้ต้องกินแก้(พฤติกรรม)กรรม

โดย…อณุสรา  ทองอุไร ภาพ : ภัทรชัย  ปรีชาพานิช

คํากล่าวที่ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นน่าจะเป็นเรื่องจริงในกรณีของ อาจารย์นุ่น-ผศ.ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊กกินแก้กรรม ซึ่งเธอเป็นหลานสาวของนักเขียนดังเจ้าของนามปากกา สราญจิตร  จินตหรา คุณยาย (ม.ล.จินตนา นพวงศ์) ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ปดิวรัดา  วนาลีแสงศูรย์  ที่โด่งดังมากๆ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยงานหลักนั้นอาจารย์นุ่นเป็นนักกำหนดอาหารและเป็นอาจารย์ประจำที่ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

แต่มีใจรักทางด้านงานเขียนมาตั้งแต่เด็ก เธอเล่าว่า คุณยายของเธอผู้ซึ่งจบอักษรศาสตร์จุฬาฯ รุ่นแรก นั้นถือว่าเป็นสาวเปรี้ยวในยุคนั้น เวลาคุณยายให้รางวัลหลานๆ มักจะมอบหนังสือให้ แล้วให้ไปอ่านให้จบลองสรุปเรื่องราวที่อ่าน เขียนสรุป หรือมาเล่าให้คุณยายฟัง แล้วคุณยายก็จะมีค่าขนมมอบให้ เนื่องจากคุณยายต้องการส่งเสริมให้หลานๆ รักการอ่านจนติดเป็นนิสัย และมันก็ได้ผลดี ทำให้เธอเป็นเด็กชอบอ่านชอบเขียน ชอบเล่ามาตั้งแต่เด็กๆและเธอเองก็เคยอยากจะเรียนอักษรศาสตร์เช่นเดียวกับคุณยาย

แต่คุณแม่ของเธออยากให้เรียนสายวิทยาศาสตร์ อยากให้เป็นนักกำหนดอาหาร เธอจึงต้องเบนเข็ม แต่ก็ไม่ได้ทิ้งงานเขียนไปซะเลย โดยตอนที่เธอเรียนปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐ เมื่อปี 2546 ตอนนั้นอายุ 25 ปี เธอได้เขียนบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การอาหาร และเทรนด์อาหารใหม่ๆ ที่เป็นที่สนใจในสหรัฐตอนนั้นให้กับนิตยสารกรู์เมท์มาปีกว่า และเรื่องราวที่เธอเขียนก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นอย่างดี

อาจารย์นุ่น เล่าว่าเขียนได้ปีกว่า พอปี 2547 ตอนนั้นอายุ  26 ปี ทางสำนักพิมพ์ก็ให้รวมเล่มเป็นครั้งแรก ชื่ออาหารต้านโรค ซึ่งพิมพ์ซ้ำ 2 ครั้ง นับเป็นเล่มแรก ต่อมาปี 2558  ก็ออกพ็อกเกตบุ๊ก เล่มที่ 2 เป็นหนังสือคุ้กบุ๊ก ของเด็กๆ นำรายได้เพื่อถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื้อหาว่าด้วยสูตรอาหารตั้งแต่อดนมจนถึงเข้าโรงเรียน

สำหรับพ็อกเกตบุ๊ก กินแก้กรรม นี้ เป็นเล่มที่ 3 ที่ออกมาเมื่อเดือน มี.ค. ที่ว่าด้วยการกินที่ถูกต้อง เน้นคำโดนๆ ที่ท้าทายความเชื่อที่คนไทยชอบพูดกันว่าเวลาเป็นโรคโน่นนี่เป็นเพราะกรรม ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน หัวใจ หรือแม้กระทั่งมะเร็ง ว่าเป็นโรคเวรโรคกรรม หรือเพราะมีกรรมเก่าเลยเป็นโรคเหล่านี้ ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่ แต่มันมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง

 

“แต่เป็นเพราะเรากินไม่เลือก ขุดหลุมฝังตัวเองด้วยปากและฟันของตัวเองนั่นแหละ รวมทั้งพฤติกรรมการกินที่ผิดๆ นั่นเอง จึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะโรคอ้วนซึ่งเป็นบ่อเกิดเริ่มต้นของโรคอื่นๆ ตามมา” เธอเล่าถึงเนื้อหาบางส่วนของหนังสือให้ฟัง

เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จะบอกให้ผู้อ่านรู้จักวิธีการกินที่ถูกต้องเหมาะสมในทางสายกลาง แล้วเพิ่มกิจกรรมอย่างอื่นที่ดีๆ เช่น การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวบ่อยๆ อย่าตามใจปากมากเกินไป เช่น กินแบบมิลลิกรัมไม่ใช่กิโลกรัม ถ้าไม่รู้ว่ากรัมคือแค่ไหน ก็ลองกำมือกินแค่กำมือของตัวเองพอ แล้วแบบเล่นคำนิดๆ เช่น กินตามอายุรกรรม คือเมื่อเข้าสู่วัย 40 กว่าๆ ไปแล้ว ก็อย่าไปกินแบบวัยรุ่นพวกฟาสต์ฟู้ดมันไม่เหมาะ เนื้อสัตว์เยอะๆ ก็ไม่เหมาะแล้วระบบย่อย ระบบเผาผลาญ มันทำงานช้าลงไม่เหมือนตอนวัยรุ่น ต้องกินให้เหมาะสมกับวัย เนื้อสัตว์ให้น้อย เลี่ยงไม่ได้ก็เป็นเนื้อปลาเนื้อไก่แทน ผักสดผลไม้ให้มากเข้าไว้ และอย่าปล่อยตัวตามยถากรรม อะไรไม่ได้ก็ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ เลือกมากขึ้นสักนิดไม่ใช่เจออะไรก็กินไปเรื่อยเปื่อยตามยถากรรม

“หยุดวิบากกรรมให้ตัวเองด้วยการเลือกกินพิถีพิถันกับการกินสักนิด อย่าไปคิดเองเออเองว่าไม่เป็น กินไปเถอะ แบบนั้นไม่ได้ แล้วถ้าคุณอายุ 45 ปีขึ้นไปต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองบ้าง”

ที่สำคัญต้องยุติธรรมกับตัวเอง โดยอย่าหลงเชื่อผิดๆ คือต้องกินอย่างมีสติ ทดสอบตัวเองให้ได้ว่าหิวจริงๆ หรือแค่อยากกิน มันแค่กิเลส เวลาอยากกินให้สูดหายใจลึกๆ ตั้งสติสักประเดี๋ยว แล้วบอกตัวเองว่าเราแค่อยากกินไม่ได้หิวจริงๆ ซะหน่อยอย่าเพิ่งกินตอนนี้ อดใจไว้ก่อน หรือใช้หลักการรักษาสมดุล “คือหากมื้อนี้กินหนักไป ก็ใช้หลักการบาลานซ์ในมื้อถัดไป ด้วยการกินน้อยลงด้วยการเลือกกินยำต่างๆ หรือสลัดแทนที่จะเป็นข้าวจานใหญ่หรือแค่ผลไม้หวานน้อยอย่างแตงโม ฝรั่ง แก้วมังกร สับปะรดแทนข้าว หรือลองเลือกแนวทางมังสวิรัติที่ถูกต้องสักสัปดาห์ละวันสองวันก็เป็นเรื่องที่ดีกับร่างกาย รวมทั้งเอางานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินมาสอดแทรกให้ความรู้ไว้ด้วย” เธอกล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม

 

Leave a comment