ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
03 กันยายน 2559 เวลา 10:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/452332

โดย…จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
คนจำนวนไม่น้อยในประเทศนี้จบการศึกษามาแล้วไม่ได้ทำงานตรงสายงานที่ตัวเองเรียน ส่วนหนึ่งเพราะเรียนในสาขาที่คนจบกันมากแต่รับคนไม่มาก อีกส่วนมาจากเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ตำแหน่งงานที่อยากทำก็ไม่เปิดรับ ทว่าหลายครั้งเหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้อะไรดีๆ หลายอย่าง เหมือนที่ จุลเกียรติ สินชัยชูเกียรติ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บารามีซี่ ผู้พัฒนาวัซซาดุ
ดอทคอม (Wazzadu.com) แพลตฟอร์มรวมสินค้าวัสดุและตกแต่งบ้าน
แ หรือ หวก เล่าให้ฟังว่า เขาเรียนจบปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ช่วงนั้นตรงกับช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในไทยพอดีมีคนตกงานกันมาก ใครที่ได้งานในช่วงนั้นก็ถือว่าบุญแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นคุณพ่อทำธุรกิจมาก็รู้ว่าการทำธุรกิจไม่ง่าย เลยไม่อยากเริ่มต้นธุรกิจเองตั้งแต่เรียนจบ จึงไปสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและการตลาดบริษัทวัสดุตกแต่งแห่งหนึ่ง
เมื่อทำงานปีแรกก็ทำยอดขายได้สูงสุดแล้ว ทำให้เขารู้สึกว่าเด็กสถาปัตย์ก็ทำเรื่องการขายและการตลาดได้ดี จากนั้นก็สามารถเอาชนะยอดขายได้เรื่อยๆ พอทำไปได้ 2 ปี มีเพื่อนที่สถาปัตย์ด้วยกันชวนเปิดบริษัท บวกกับความอยากหาอะไรท้าทายใหม่ๆ ทำ อยากเริ่มทำอะไรด้วยตัวเอง จึงร่วมมือกับเพื่อนเปิดบริษัท บารามีซี่ ขึ้นมาควบคู่กับการทำงานประจำไปด้วย โดยบริษัทนี้รับทำตราสินค้าและงานออกแบบ ในช่วงนั้นถือเป็นงานที่ใหม่มาก และการเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ก็ทำให้เขารู้ว่างานฝ่ายธุรการ (แอดมิน) งานการเงิน บัญชี ซึ่งเป็นงานที่นักออกแบบไม่ชอบทำ กลับเป็นกลไกสำคัญต่อธุรกิจทั้งสิ้น
“ช่วงนั้นพอเลิกงานประจำช่วงเย็น ก็ไปบ้านเพื่อนทำงานบริษัทที่เปิดด้วยกันถึงเที่ยงคืน เพราะใช้บ้านเพื่อนเป็นที่รับงาน ถือเป็นเสน่ห์ของการทำสตาร์ทอัพยุคแรกๆ ที่อะไรก็ต้องประหยัด ซึ่งการที่ออกมาทำบริษัทของตัวเองโดยที่มีประสบการณ์ทำฝ่ายขายและการตลาดมาก่อน ก็ทำให้เรารู้ว่าการตลาดช่วยให้การเติบโตของธุรกิจเป็นระบบมากกว่าบริษัทที่ทำด้านออกแบบอย่างเดียวไม่สนใจงานอื่นๆ เลย นอกจากการออกแบบ”

จุลเกียรติ ระบุว่า ปกติแล้วงานออกแบบที่อาจารย์สอนมา ก็จะคำนึงถึงเรื่องความสวยงามบวกกับประโยชน์ใช้สอย แต่โลกสมัยนี้ต้องการมากกว่านั้น ลูกค้าต้องการให้ออกแบบไปเพื่อให้ขายของได้ หรือให้คนเข้าร้าน ซึ่งเวลานั้นลูกค้าก็สนใจเรา เพราะการออกแบบที่ทำให้ลูกค้าขายของได้ คนเข้าร้านมากขึ้น โดยเรามีวิธีวิจัยเข้ามาประกอบด้วยว่า ลูกค้าเข้าร้านด้วยเหตุผลอะไรบ้าง ผสมผสานกับการติดตามเมกะเทรนด์ของโลกว่าออกแบบลักษณะไหนถึงจะดึงดูดลูกค้าได้ดี เป็นการคิดแบบมองจากข้างนอกเข้ามาข้างใน (Outside In) คือการออกแบบโดยนึกถึงผู้ใช้งานก่อน
หลังจากรับงานออกแบบ ทำตราสินค้า ทำโลโก้ ลูกค้าก็ต้องการให้บริษัทรับทำเรื่องอื่นๆ พ่วงด้วย เช่น ทำกลยุทธ์ธุรกิจ ซึ่งเพื่อนที่ทำบริษัทร่วมกันมาคนหนึ่งไปจบการศึกษาจากต่างประเทศมา เลยนำความรู้มาผสมผสานกันและขยายขอบเขตธุรกิจรับทำกลยุทธ์ธุรกิจ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ด้วย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีพื้นฐานเรื่องการทำงานวิจัยที่แข็งแกร่ง
จุลเกียรติ กล่าวย้ำว่า งานวิจัยประเภทหาอนาคตในประเทศไทยยังมีน้อย 80% ของงานวิจัยในบ้านเราคือการหาปัจจุบัน ว่าลูกค้าพอใจอะไร อยากได้แบบไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้พัฒนาการออกแบบแบรนด์ (แบรนด์ดีไซน์) ไม่ได้ แต่บอกสิ่งที่ทำไปดีแค่ไหน
งานวิจัยของบริษัทคือการวิจัยอนาคต เช่น มีที่ดิน 800 ไร่ จะใช้ทำอะไรดี จะได้ไม่ตัดสินใจลงทุนผิดพลาด ก็ใช้งานวิจัยลักษณะหาอนาคตเพื่อตอบ หรือแบรนด์หนึ่งไม่รู้อนาคตจะไปต่ออย่างไร ก็ต้องการวิจัยหาทางไปต่อ ตัวอย่างลูกค้าที่บริษัทเคยไปช่วยตอบโจทย์นี้ ได้แก่ บาร์บีคิว พลาซ่า ที่มีกะหล่ำปลีแบบรีฟิล เป็นเพราะก่อนหน้านั้นได้วิจัยพบว่าการนำกะหล่ำปลีไปวางรองไว้อยู่ใต้เนื้อสัตว์ที่ลูกค้าสั่งมารับประทาน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ไม่จริงใจ แต่เมื่อวิจัยไปลึกๆ แล้วก็พบว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการนำกะหล่ำปลีให้ลูกค้าแบบมีรีฟิล
อย่างไรก็ตาม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการทำกลยุทธ์ออกแบบแบรนด์ต่างๆ มาได้ระยะหนึ่ง จุลเกียรติ และเพื่อนร่วมก่อตั้งบริษัท ก็เริ่มรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่มีแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง ภาพของวันเริ่มต้นความคิดนี้ยังเป็นภาพที่จุลเกียรติจำได้ดี วันนั้นเขาและเพื่อนนั่งอยู่ในสำนักงานที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นบ้านเปิดไฟเต็มไปหมด เลยเริ่มบรรเจิดไอเดียอยากทำอะไรที่ตัวเองมีความถนัดและเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ (โมบาย) แล้วก็นึกได้ว่าตอนที่มีบทบาทเป็นสถาปนิก เวลาอยากได้แค็ตตาล็อกวัสดุเพื่อขายงานลูกค้า ต้องรวมเป็นเล่มหนาๆ จึงอยากทำแค็ตตาล็อกวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งบ้านบนโมบาย
ด้วยเหตุนี้เอง จุลเกียรติ จึงเริ่มต้นคิดแผนธุรกิจทำแอพพลิเคชั่นแค็ตตาล็อกวัสดุตกแต่งบ้านเมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วจ้างผู้ที่ทำแอพพลิเคชั่นเป็นให้มาดำเนินการตามสิ่งที่คิดไว้ โดยเชื่อว่าหากมีแค็ตตาล็อกที่รวมวัสดุทุกอย่างไว้บนโมบายได้ ก็จะแก้ปัญหาของการถือแค็ตตาล็อกเล่มหนาๆ หรือต้องถือแค็ตตาล็อกหลายๆ เล่มให้ลูกค้าดูได้ ซึ่งบริษัทก็ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลวัสดุก่อสร้างตกแต่งบ้านกว่า 1-2 ปี

จุลเกียรติ กล่าวว่า ตอนที่เริ่มทำวัซซาดุ สมัยนั้นยังไม่รู้จักว่าสตาร์ทอัพคืออะไร รู้แค่ว่าจะใช้โมบายทำอะไรที่แก้ปัญหาของคน ก็เลยกลายเป็นการเริ่มทำแอพพลิเคชั่นรวบรวมข้อมูลวัสดุตกแต่ง ปกติแล้วผู้ที่เริ่มธุรกิจบนพื้นฐานเทคโนโลยี (สตาร์ทอัพ) ในปีแรกของธุรกิจจะไม่สามารถทำรายได้ได้ แต่สำหรับบริษัทเมื่อเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Wazzadu (วัซซาดุ) ปีแรกก็มีรายได้ทะลุ 3 ล้านบาททันที ทั้งที่ยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นไม่ได้สูง เนื่องจากวัซซาดุมีรายได้จากการซื้อขายระหว่างภาคธุรกิจและภาคธุรกิจ (บีทูบี) เป็นหลัก
“กว่า 1 ปี ยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นวัซซาดุไปใช้งานอยู่ที่กว่า 4 หมื่นคน ส่วนสินค้าที่เข้ามาอยู่ในแค็ตตาล็อกให้กลุ่มเป้าหมายเลือกมีกว่า 1 หมื่นประเภทสินค้าจาก 180 แบรนด์ กลุ่มเป้าหมายหลักที่จะมาใช้บริการวัซซาดุ คือ สถาปนิกซึ่งต้องการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้เพื่อให้ลูกค้าใช้ประกอบการเลือกวัสดุตกแต่งบ้าน ทว่ายอดการใช้งานหนาแน่นเกินพิกัด จึงทำให้เกิดปัญหาแอพพลิเคชั่นล่มบ่อย ทำให้ต้องเริ่มคิดว่าจะไปต่อยังไง เลยมาทำวิจัยใหม่”
ระหว่างนั้นเองวัซซาดุก็ได้พันธมิตร 2 รายเข้ามาร่วมพัฒนา คือ จุฑาศรีคูวินิชกุล ผู้ร่วมก่อตั้งแกร็บแท็กซี่ ที่ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท อลูเม็ท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมททา กรุ๊ป รวมทั้ง ป้อม-ภาวุธ พงษ์วิทยภานุผู้ก่อตั้งตลาดดอทคอม เข้ามา
จากการวิจัยพบว่ามูลค่าธุรกิจวัสดุตกแต่งบ้านอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท/ปี โดยมูลค่าธุรกิจนี้ครอบคลุมห่วงโซ่ธุรกิจตั้งแต่ผู้ซื้อทั่วไป ช่าง สถาปนิก ผู้ผลิต และหากเป็นช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู เคยมีมูลค่าธุรกิจถึง 9 แสนล้านบาท นี่เป็นมูลค่าเฉพาะในไทย ยังไม่นับรวมประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้เกิดการปรับแนวทางธุรกิจ
จุลเกียรติ อธิบายว่า เดิมทำเป็นแอพพลิเคชั่นอย่างเดียวและมีรายได้ในรูปแบบผู้ประกอบการซื้อขายกับผู้ประกอบการ (บีทูบี) อย่างเดียว เช่น คนขายกระเบื้องอยากขายกระเบื้องของตัวเองให้ได้ ก็จะซื้อโฆษณาที่ทำให้เข้าถึงสถาปนิกที่มาดูแค็ตตาล็อกได้มากขึ้น แต่การเติบโตด้วยโครงสร้างรายได้แบบนี้ทำได้ลำบาก มีข้อจำกัด จึงพัฒนาเวอร์ชั่นที่ 2 ของวัซซาดุ โดยทำเป็นเว็บไซต์วัซซาดุดอทคอมขึ้นมาด้วย เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายกว้างขึ้น ไม่ใช่แค่สถาปนิก
“ผู้ใช้งานบนแอพพลิเคชั่นน้อย ทั้งที่จริงสถาปนิกอยากใช้งานเรา แต่จะใช้แค่ในวันหยุดที่รับงานฟรีแลนซ์ไว้เท่านั้น เพราะกลัวว่าถ้าใช้ในวันธรรมดาที่ทำงานประจำ ถ้าเจ้านายจะเห็นว่าดูอะไรบนมือถืออยู่ เลยต้องพัฒนาเป็นเว็บไซต์ ซึ่งก็ทำให้กลุ่มเป้าหมายขยายจากแค่สถาปนิก ก็มีผู้ใช้งานทั่วไป ช่าง เข้ามาด้วย”

ทั้งนี้ เมื่อก่อนร้านค้าที่นำข้อมูลวัสดุตกแต่งมาลงในวัซซาดุจะมีแต่แบรนด์ใหญ่ เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังผลิตรองรับกลุ่มโครงการที่สถาปนิกดูแลได้ แต่ปัจจุบันเมื่อกลุ่มเป้าหมายขยายก็ทำให้ร้านค้ารายย่อยสามารถเปิดตลาดสินค้าวัสดุตกแต่งสำนักงานและบ้านผ่านวัซซาดุดอทคอมได้ฟรี เดิมที่มีรายได้จากผู้ประกอบการซื้อโฆษณาเพื่อให้สินค้าของตัวเองอยู่ในอันดับต้นๆ ในสายตาของสถาปนิก ก็มีช่องทางรายได้ใหม่เพิ่ม มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์มาลงโฆษณาในรูปแบบเน้นนำเสนอให้ทราบว่าใช้วัสดุอะไรในการก่อสร้างบ้านในโครงการบ้าง เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าบ้านที่ก่อสร้างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ วัซซาดุดอทคอมยังมีพื้นที่สำหรับนำเสนอสินค้าตกแต่งบ้านผ่านฟังก์ชั่นการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบตกแต่งบ้านหลายรูปแบบได้ด้วย เพราะบริษัทตระหนักว่าคนที่เข้ามาดูวัซซาดุดอทคอมอยากแต่งบ้าน ซื้อกระเบื้องเพราะอยากได้ห้องสวยๆ ถ้ามีเป็นแนวคิดให้เขาเป็นแนวทาง ซึ่งช่องทางนี้ก็มีผู้ประกอบการวัสดุตกแต่งต่างๆ เข้ามาใช้มาก
ปัจจุบันวัซซาดุดอทคอมมีผู้ใช้งานหลักหมื่นคนต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2-3 เท่าตัวได้ในสิ้นปีนี้ ส่วนเป้าหมายรายได้จากวัซซาดุดอทคอมคงจะเริ่มคาดคะเนได้ในปีถัดไป และหลังวัซซาดุดอทคอมประสบความสำเร็จในไทย ก็มองไว้ว่าจะไปขยายวัซซาดุดอทคอมในเวียดนาม เป็นจุดหมายต่อไป จากนั้นก็มองไปที่เมียนมาและกัมพูชาเช่นกัน ซึ่งการจะไปต่างประเทศบริษัทคงต้องหาพันธมิตรในพื้นที่ด้วย
จุลเกียรติ กล่าวว่า จากการเดินหน้ามาได้ไกลถึงวันนี้ ทำให้เขาพบว่าการเป็นสตาร์ทอัพที่ดีจะต้องประกอบกับคนได้ประโยชน์ 3 ฝ่าย คือ ผู้ใช้งาน ผู้ผลิตสินค้า และสตาร์ทอัพเอง อย่างเช่นวัซซาดุดอทคอม ที่ผู้ใช้งานได้ประโยชน์จากการที่ไม่ต้องเหนื่อยไปเดินจตุจักร หรือไปห้างค้าปลีกที่รวมวัสดุก่อสร้าง สามารถดูวัสดุต่างๆ ได้เลย และยังสามารถหาแรงบันดาลใจตกแต่งบ้านจากแนวคิดตกแต่งบ้านที่นำเสนอในวัซซาดุดอทคอมอีกด้วย ส่วนผู้ผลิตสินค้าได้ประโยชน์จากการมีช่องทางจำหน่าย รายย่อยเปิดร้านได้ฟรี สร้างยอดขายและทำตลาดได้บนวัซซาดุดอทคอม และวัซซาดุดอทคอมเองได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่ยอดคนใช้งานสูง แต่สร้างรายได้ด้วย
ท้ายนี้ จุลเกียรติ ฝากไว้ว่า การที่เขามาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะเขายึดถือเสมอว่าทุกอย่างต้องพัฒนาขึ้น และการพัฒนาต้องเริ่มจากตัวเอง
ใครที่กำลังจะตกงาน หรือเพิ่งจบใหม่กำลังหางานอยู่ ลองมองผู้ชายคนนี้ไว้เป็นแบบอย่าง เพราะชีวิตของเขาผู้นี้เดินมาไกลถึงจุดนี้ได้เพราะรู้จักพัฒนาตัวเอง พัฒนาสิ่งที่ทำอยู่เสมอนั่นเอง