ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
28 สิงหาคม 2559 เวลา 11:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/451085

โดย…กองทรัพย์ ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
อดีตเด็กอ้วนที่เกาะกระแสกินยาลดความอ้วนในโรงเรียนตามเพื่อน เพราะคิดว่ากินแล้วจะผอม แต่สิ่งนั้นส่งผลให้ เปิ้ล-ณัชสุวีร์ วงศ์บุญศิริ ได้รับผลต่อเนื่องมาจนถึงเรียนมหาวิทยาลัยเพราะอาการโยโย่เอฟเฟกต์ที่นอกจากจะไม่ผอมลงแล้วยังปวดหัวตลอดเวลา ถึงขั้นต้องพบจิตแพทย์ แต่ก็ไม่หาย กระทั่งเธอเจอเข้ากับกีฬาที่ทำให้เธอหลงรัก และทำให้อาการปวดหัวที่เป็นมานานปีหายไป สิ่งนั้นก็คือโยคะ เธอหลงใหลสิ่งนี้จนถึงขั้นฝึกเพื่อเป็นครู โดยปัจจุบันเธอสอนอยู่ที่ Absolute You และพ่วงอีกหนึ่งกีฬาที่มีฉายาว่า “เฮียเปิ้ลขาโหด” นั่นคือการวิ่ง
โยคะ คือรักแรกพบ
“ถ้าย้อนไปก็เมื่อ 18 ปีที่แล้ว สมัยเข้าปีหนึ่ง คนแรกที่เห็นเล่นโยคะก็คือพี่แนน (ชลิตา เฟื่องอารมณ์) เราก็เกิดความสงสัยว่าโยคะคืออะไร อยากลองอะไรใหม่ๆ ต้องบอกก่อนเลยว่าเปิ้ลเป็นคนชอบออกกำลังกาย และเล่นกีฬาแทบทุกชนิด บาสเกตบอล แชร์บอล ว่ายน้ำ เป็นเด็กชอบออกกำล้งกาย แต่พอไปลองโยคะก็รู้สึกเลยว่ามันใช่ โยคะแต่ก่อนมันดูเหมือนไม่ยาก แค่เหยียดยืด เล่นหนึ่งท่าแล้วนอนพัก แต่ได้เหงื่อ อาการปวดหัวก็หาย น้ำหนักลดลง จากคนหนัก 69 กก. (ผลของโยโย่เอฟเฟกต์) ฝึกโยคะหนึ่งเดือนลงไป 10 กก. มันลดลงโดยอัตโนมัติ เหมือนปรับสมดุลในร่างกาย ระบบในร่างกายดีขึ้น ระบบการหายใจดีขึ้น ผอมลงโดยไม่อดอาหาร” ครูเปิ้ล ย้อนถึงการค้นพบกีฬาที่ทำให้เธอตกหลุมรักในทันที “เพราะโยคะทำให้เราดีขึ้นจากภายในสู่ภายนอก จากนั้นก็เริ่มฝึกเองทุกวันๆ จริงจังกับการฝึกโยคะ ตอนนั้นพอเรียนจบก็หันมาเอาดีด้านการเป็นครูสอนโยคะ จนถึงทุกวันนี้ อยู่กับโยคะมาแล้ว 18 ปี”
วิ่ง คือรักแสนท้าทาย
การอยู่กับสิ่งที่รักมานานจนรู้จักกันดีแล้ว หรือชินแล้ว สาวแอ็กทีฟอย่างครูเปิ้ล ก็มองหาความท้าทายใหม่ๆ ให้กับตัวเอง เธอเคยเบนเข็มไปเล่นพิลาติสอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ได้หลงใหลถึงขั้นรัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอทั้งรักและอยากเอาชนะครั้งใหม่ ก็คือ การวิ่ง
“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว รู้สึกว่าอยากหาอะไรใหม่ๆ ที่สนุกทำ พอดีว่าเพื่อนบางคนอยู่ในวงการวิ่ง เขาก็ชักชวนให้มาวิ่ง งานแรกจำได้ว่างานไทยคม ได้บิบ (หมายเลขวิ่งง) ฟรี ก็ลงวิ่งระยะ 10 กม.เลย ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าระยะนี้มันไกลแค่ไหน บอกเพื่อนเลยว่า ได้! เอาสิ! เราแข็งแรง (หัวเราะ) แต่วันแรกแทบตาย สิ่งที่ทำตอนนั้น คือ เดินๆ วิ่งๆ จนเข้าเส้นชัยได้ แต่ตอนเย็นวันนั้นเดินไม่ได้เลย ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอขนาดนี้ เพราะปกติเปิ้ลเป็นคนที่ถ้าบอกว่าออกกำลังกาย ทำอะไรได้หมด แต่พอวิ่งแล้วทำให้เราเดินไม่ได้เลยเหรอ เมื่อยมาก เช้าวันต่อมาเราก็เลยคิดว่า เออ…วิ่งนี่แหละที่ใช่ มันเริ่มมีความท้าทาย”
จากนั้นเธอก็หารองเท้าวิ่งคู่แรก เริ่มวิ่งในสวนใกล้บ้าน เริ่มจาก 300 เมตร เพิ่มระยะไปเรื่อยๆ จนวิ่ง 10 กม.ได้สบาย กลายเป็นวิ่ง 21 กม. และจบที่มาราธอน 42.195 กม. “นานแค่ไหนถึงรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น สำหรับเปิ้ลใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ตอนแรกเราวิ่งฟรุ้งฟริ้ง มีกลุ่มเพื่อนที่วิ่งไปถ่ายรูปไป แรกๆ ยังไม่ได้รู้สึกว่ารักการวิ่งมาก คือไปวิ่งตามงาน หรือมีเวลาว่างก็ไปซ้อม ผ่านไปประมาณ 6 เดือน ก็เจอเพื่อนที่จริงจังกับการวิ่ง ชวนกันมาวิ่งสวนลุม พอมาทำงานในเมืองก็เริ่มติดสวนลุมมากขึ้น ณ วันหนึ่ง ก็ไม่คิดว่าจะตื่นตีสามแล้วมาวิ่งตีสี่ได้ทุกวัน ตอนนี้เริ่มวิ่งมาได้ 2 ปีแล้ว เปิ้ลว่ามันสนุกและท้าทายตัวเอง พอวิ่งได้เรื่อยๆ ไม่หยุด ก็ขยับระยะพัฒนาเรื่องการลดเวลา เป็นความสนุกอย่างหนึ่งในการวิ่ง ตอนนี้เริ่มวิ่งจริงจัง มีตารางซ้อมจริงจัง เพราะเหมือนเราได้ท้าทาย เป้าหมายมีให้ไขว่คว้าเรื่อยๆ ก็เลยชอบวิ่ง” จากรองเท้าคู่แรก ตอนนี้คงไม่ต้องถามว่าเธอมีรองเท้าวิ่งแล้วกี่คู่

วิ่ง-โยคะ เราไปด้วยกันได้
ครูเปิ้ล บอกว่า สิ่งที่ผู้ฝึกโยคะมาก่อนได้เปรียบนักวิ่งที่วิ่งอย่างเดียว ก็คือ ความยืดหยุ่นของร่างกาย และความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว เธอบอกว่าโยคะและวิ่งเมื่อเข้าคู่กันแล้วคือสิ่งเติมเต็มซึ่งกันและกัน “อย่างที่บอกว่าเปิ้ลรักและบ้าโยคะ หายใจเข้าออกเป็นโยคะ พอเริ่มมาวิ่ง ก็รู้สึกว่าการวิ่งต้องมีการยืดเหยียด ก่อนจะวิ่งก็นำโยคะมาใช้ในทุกช่วงเวลาของเรา ยิ่งเมื่อเรามาเจอนักวิ่งก็พบว่าทำไมคนอื่นวิ่งแล้วบาดเจ็บ แล้วก็ยังฝืนวิ่ง เราถามว่าทำไมถึงเจ็บ ก็ได้คำตอบว่า วิ่งอย่างเดียว ไม่ได้วอร์มร่างกายให้เพียงพอ หรือไม่ยืดเหยียดหลังคูลดาวน์ ส่วนใหญ่คนละเลยตรงนี้ เวลา 10-15 นาที ก่อนวิ่งมีประโยชน์มากกับการเอาโยคะหรือการเหยียดยืดมาใช้ ช่วยลดการบาดเจ็บได้เยอะ ก็เลยเอาโยคะมา เจอใครก็ตามจะชวนมายืดจับมาเหยียด เขาก็รู้สึกว่าโยคะก็ไม่ยาก ถ้าเขาได้ทำสักพักก็จะติด”
นอกจากฉายาขาแรง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ครูเปิ้ลโดดเด่นมากในสนาม ก็คือ สีสันของชุดแต่ละครั้ง ซึ่งเธอประยุกต์ชุดโยคะที่มีมาใช้จนกลายเป็นสีสันในแต่ละสนาม “เมื่อก่อนเปิ้ลพยายามหาชุดวิ่ง เห็นคนอื่นใส่ขาสั้นวิ่ง แต่เราเป็นคนเหงื่อเยอะมาก พอวิ่งไกลใส่ขาสั้นก็จะเปียกไปหมด เลย ตอนแรกก็คิดว่าใส่กางเกงรัดกล้ามเนื้อสีดำ แต่เราชอบแต่งตัวก็เลยเกิดคำถามว่ากางเกงโยคะที่มีใส่ได้ไหม สุดท้ายพบว่าใส่ได้ เพราะรัดกล้ามเนื้อระดับหนึ่ง มีความยืดหยุ่น ระบายอากาศดี แห้งเร็ว และไม่ได้แพงเท่ากับกางเกงรัดกล้ามเนื้อ ก็เลยสนุกที่จะแต่งตัว แต่งตัวสวยปุ๊บทำให้เราสดชื่น คนอื่นเห็นก็สดชื่นไปด้วย ตอนนี้วงการวิ่งก็มีสีสัน ก็น่ารักดี” ครูสอนโยคะ กล่าวยิ้มๆ
เสน่ห์ของกีฬาแสนรัก
ครูเปิ้ล พบว่า เสน่ห์ซึ่งเป็นจุดร่วมของทั้งสองกีฬาที่เธอรักคือโยคะกับวิ่งมีส่วนคล้ายกัน คือสมาธิ “เราต้องมีสมาธิกับตัวเอง ฟังเสียงร่างกายลมหายใจตัวเอง เหมือนกับการวิ่ง ตอนแรกๆ เปิ้ลรู้สึกว่าทำไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิ วอกแวก มองคนอื่น คนนั้นแต่งตัวยังไง วิ่งเร็ววิ่งช้า ถ้าเราอยู่กับตัวเอง ฟังเสียงก้าวของตัวเอง จะรู้ว่าเราไปได้อีกแค่ไหน แต่โยคะจะเน้นเรื่องของภายในมากกว่า เรื่องลมหายใจ การเข้าท่า วิ่งได้ความสนุก ได้เจอเพื่อน เหมือนเรามาโรงเรียนทักทายเพื่อน ส่วนความแข็งแรงของการวิ่ง เปิ้ลได้เรื่องของขา คือสามารถสอนโยคะได้แข็งแรงมากขึ้น เพราะปอดแข็งแรงขึ้น จากแต่ก่อนสอน 4 คลาส คลาสสุดท้ายเรารู้สึกเหนื่อยแล้ว พอปอดเราแข็งแรง ก็มีพลัง ยืนได้ทั้งวัน การวิ่งทำให้ขาแข็งแรง เพราะวิ่งแล้วเราได้กล้ามเนื้อขา ต้นขาที่แข็งแรงขึ้น ปัญหาเรื่องปวดเข่า หรือปวดหลังจากการสะพายกระเป๋าหนักๆ ก็ดีขึ้น”
เมื่อถามถึงเป้าหมายของโยคะและวิ่ง ครูสอนโยคะที่จบการแข่งมาราธอนมาแล้ว 5 รายการ มีเป้าหมายต่อไป คือ อยากวิ่งอัลตราระยะ 100 กม. ซึ่งเธอจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการลงวิ่งเทรลระยะ 66 กม. ที่ จ.เชียงใหม่ ก่อน ถ้าจบรายการนี้ได้ เป้าหมาย 100 กม.ก็จะเกิดขึ้นในปีหน้า