ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
18 กรกฎาคม 2559 เวลา 07:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/443484

โดย…ธเนศน์ นุ่นมัน
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 39/2559 เรื่องการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยใจความสำคัญของคำสั่งดังกล่าวคือ ให้อำนาจ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) โดยคำแนะนำของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) มีอำนาจสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ พ้นจากตำแหน่งหรือให้ไปปฏิบัติงานอื่น โดยเบื้องต้นมีผลใช้บังคับกับมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
คำสั่งดังกล่าวถูกตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถาบันอุดมศึกษาจนถึงกับต้องมีประกาศดังกล่าว รวมถึงคำสั่งนี้จะถูกขยายผลต่อยอดเป็นอะไรต่อไป
ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการ กกอ. ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นเสมือนมาตรการการจัดการปัญหาที่เรื้อรังมานานและถือว่าออกมาในช่วงเวลาที่
เหมาะสม โดยระบุอีกว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าระบบการดำเนินการและการบริหารงานของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่งนั้นมีปัญหาสะสมมานาน เช่น มหาวิทยาลัยที่ถูกประกาศ มาตรา 44 นั้นมีปัญหาตั้งอธิการบดีไม่ได้มานานถึง 5 ปี โดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนมีอำนาจเข้าไปจัดการทำอะไรได้ เพราะตามกฎหมายที่มีนั้น ถือว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีอิสระ มีอำนาจการจัดการนั้นอยู่ที่สภามหาวิทยาลัยเป็นแดนสนธยาที่ใครก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้
อดีตเลขาธิการ กกอ. กล่าวว่า โดยปกติการตรวจสอบมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หากถามจุดหรือเครื่องมือที่ตรวจสอบก็จะได้ข้อมูลเป็นที่ๆ ไป เช่น หากถามสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็จะบอกว่ามีที่ทุจริตหลายแห่ง แต่พอถามว่ามีระบบอะไรที่เข้าไปตรวจสอบได้บ้าง ก็จะพบว่าไม่มี มหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันการศึกษา ทั้งของรัฐ ในกำกับของรัฐและเอกชนมากถึง 170 แห่ง ถ้ารอมาตรการตรวจสอบก็ต้องรอให้ สตง.เข้าไปสุ่มตรวจ ซึ่งทำได้แค่ 4-5 ปี/ครั้ง
“เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบนั้นไม่ทันต่อปัญหา เพราะระบบที่เราออกแบบมา คือ ฝากความเข้มแข็งไว้ที่สภามหาวิทยาลัยทั้งหมด แต่สภามหาวิทยาลัยก็มามีปัญหาเสียเอง แต่ละแห่งมีคุณภาพการดูแลที่ต่างกันและหลากหลายมาก บางแห่งกรรมการที่ตั้งมาก็ไม่ได้ดูแลเลย ประชุมเดือนหรือสองเดือนครั้ง ก็รู้แค่ปัญหาแค่เรื่องที่ฝ่ายบริหารใส่แฟ้มมาให้ ที่มีระบบบริหารจัดการอยู่ตัวก็อาจจะไม่พบปัญหา บางแห่งก็ขัดแย้งกันระหว่างสภากับฝ่ายบริหาร บางแห่งทั้งสองฝ่ายก็ฮั้วกัน เราเรียกกันเล่นๆ ว่า ผลัดกันเกาหลัง คือ อธิการบดีตั้งนายกสภา แล้วนายกสภาก็กลับมาตั้งอธิการบดี บางทีเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำไป เมื่อเข้าไปบริหารก็ไม่ดูแลจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นเลย จึงเกิดคำถามว่า แล้วใครจะกำกับดูแล และหลังประกาศมาตรา 44 เรื่องนี้ ควรใช้เป็นโอกาสสังคายนาอุดมศึกษาไปอย่างต่อเนื่อง
“หลังจากนี้ควรเร่งผลักดัน พ.ร.บ.อุดมศึกษาเพื่อเข้าไปกำกับดูแลไม่ให้ปัญหาเดิมๆ เช่น เรื่องการบริหาร กติกาการผลิตบัณฑิตเกิดขึ้นอีก และ พ.ร.บ.ก็ไม่กระทบต่ออิสระของมหาวิทยาลัยที่ไม่มีปัญหา มีการถกเถียง และโดยเฉพาะกลุ่มอธิการบดีบอกว่าจะถูก พ.ร.บ.ควบคุมการทำงาน แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่า เขามีสิทธิอะไรที่จะไม่ถูกควบคุม ในเมื่อมหาวิทยาลัยนั้นถือเป็นสมบัติของสังคม ผมศึกษาเรื่องมหาวิทยาลัยมาเยอะ บอกได้เลยว่า ไทยมีอิสระมากกว่าหลายประเทศทั่วโลก แม้แต่ประเทศชั้นนำก็ยังมีระบบถ่วงดุลมากกว่าเรา ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่ต้องออกแบบการจัดการที่เหมาะสมเป็นหลักประกันการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน” ภาวิช กล่าว
นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. กล่าวว่า จากนี้มหาวิทยาลัยที่รู้ตัวว่ามีปัญหานั้น ขอให้สภากลับไปทบทวนและหาทางแก้ปัญหาให้ได้ กกอ.จะยังไม่เข้าไปตรวจสอบ ส่วนจะให้เวลาสภาแก้ปัญหานานแค่ไหนนั้น ไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา แต่คงให้เวลาไม่นานนัก หากไม่เร่งแก้ไขก็อาจเป็นคิวถัดไป เพราะ รมว.ศธ.มีอำนาจออกคำสั่งให้สถาบันอุดมศึกษาเหล่านั้นอยู่ในความควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
มหาวิทยาลัยที่อยู่ในกลุ่มต้องเร่งแก้ปัญหามีอยู่ประมาณ 10% ของมหาวิทยาลัยทั้งประเทศ หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 20 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีปัญหาเรื่องการรับนักศึกษาเกินกว่าที่แจ้งให้ สกอ.รับทราบ 11 แห่ง นอกนั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่มีปัญหาการทุจริตของผู้บริหาร ความแตกแยกของสภากับฝ่ายบริหารสภา อาศัยช่องทางกฎหมายสั่งปลดอธิการบดี ย้ำว่าถึงจะมีประกาศมาตรา 44 แล้ว แต่ก็ยังให้โอกาสสถาบันที่มีปัญหาสะสางปัญหากันเอง แต่ถ้าคิดจะเพิกเฉยเกียร์ว่าง ไม่ทำอะไรเลย ก็ลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป