ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
20 กันยายน 2559 เวลา 11:07 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/455504

โดย…พริบพันดาว ภาพ… คลังภาพโพสต์ทูเดย์
กลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennial) หรือเจนเอ็มในประเทศไทยมีจำนวน 20.6 ล้านคน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานครอบครัวที่ค่อนข้างดี มีฐานะ การศึกษาดี และมีประสบการณ์ชีวิต ทำให้มีมุมมองที่แตกต่างกับคนกลุ่มอื่น มีพฤติกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัว เพราะเติบโตมาพร้อมๆ กับเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ เป็นกลุ่มที่เข้าถึงได้ยากมาก เนื่องจากเติบโตพร้อมกับการพัฒนาของออนไลน์และเทคโนโลยี ทำให้พวกเขามีความคิดเปิดกว้างมาก มีความคิดเป็นของตัวเอง
ความต้องการในจิตใจของคนกลุ่มนี้พร้อมเปลี่ยนใหม่ได้ตลอดเวลา อะไรที่พ่อแม่เคยสอนมาหรือสิ่งที่เคยรักมาก่อนอาจจะถูกเปลี่ยนไปทันทีถ้าหากเขาเจอของใหม่หรือเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ถ้าสิ่งใหม่ให้อะไรที่พวกเขาต้องการได้มากกว่า ดังนั้นพร้อมกดปุ่ม Reset ตัวเองอยู่ตลอดเวลา และในแง่การจับจ่าย จะซื้ออะไรต้องพิจารณาว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ในแง่ทั้งเงินและเวลา 86% ของคนเจนเอ็มไม่เชื่อโฆษณา (Advertising) อยากทดลอง อยากพิสูจน์ หรืออยากไปหาข้อมูลเพิ่มได้โดยง่ายและสะดวก
กลุ่มคนเจนเอ็มมีรหัสดีเอ็นเอในรุ่นของเขาที่เข้มแข็งที่ไม่เหมือนคนรุ่นอื่นๆ คือ 1.Creative สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ 2.Confident มั่นใจและชัดเจน 3.Authentic เป็นของแท้ จริงใจ 4.Simple ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน ไม่ต้องล้ำ 5.Trustworthy น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นผู้หญิงหรือแม่เจนเอ็มที่กำลังเป็นคนกลุ่มใหญ่วัยเจริญพันธุ์ทั้งในเมืองไทยและทั่วโลกล้วนเป็นเช่นนี้

6 เทรนด์แม่ยุคใหม่
การสรุปผลวิจัยทัศนคติและพฤติกรรมเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากช่องทางออนไลน์ เรื่องการเลี้ยงลูกจากแม่ทั่วประเทศจำนวนกว่า 2,000 ราย ที่มีอายุอยู่ในช่วง 21-35 ปี (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2523-2542 ตามการจัดลำดับช่วงชั้นอายุของ U.S. Chamber of Commerce) โดยเป็นกลุ่มที่เรียกว่า Millennial Generation (Gen M) แนวโน้มและทิศทางของในด้านต่างๆ อาทิ พฤติกรรมการบริโภค การใช้สื่อ รวมไปถึงวิธีการเลี้ยงลูก พิมพ์ฐณัช ภฐณวาณิชกุล ผู้จัดการศูนย์วิจัย สถาบันอาร์แอลจี ได้นำเสนอ 6 เทรนด์ของแม่เจนเอ็ม กับทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันไว้ดังนี้
1.WOMOM Phenomenon (จะเป็น “ผู้หญิง” หรือเป็น “แม่” ฉันก็ยังคงเป็นตัวเองนี่แหละ)
2.7 to 7 GRAN (nan) NY Hours (เรื่องเลี้ยงลูก ไว้ใจปู่ย่าตายายที่สุด)
3.No Rule is New Rule (แม่ไม่ได้แหกกฎ แค่เปลี่ยนบริบทของคำว่า “ดีที่สุด”)
4.TAKE IT EASY theory (แม่สายชิล สบาย…สบาย เพราะได้ตัวช่วยเพียบ)
5.INTERNET OF “mother” THINGS (แม่ 4G เอาอยู่ทุกสถานการณ์)
6.TRANS-PARENT Culture (สังคมแม่ยุคใหม่ไร้พรมแดน)

“จากผลการวิจัยทั้งหมด เราพบว่า แม่ยุคนี้มีความคิดที่เปลี่ยนไป เป็นอิสระมากขึ้น มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ยึดติดกรอบการเลี้ยงดูลูกแบบเดิมๆ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ทุกยุคทุกสมัยก็ยัง
มีความกังวลใจอยู่บ้างเรื่องของการเลี้ยงลูก และแม่ต้องการตัวช่วยที่ไว้วางใจได้ จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับแม่ ในการทำตัวเป็นผู้ช่วยที่ดี ที่แม่ไว้วางใจ และจะดียิ่งขึ้นถ้าช่วยพวกเธอประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยเธอทำชีวิตให้ง่ายขึ้น และทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีเป็นแม่ที่ดี” พิมพ์ฐณัช กล่าวพร้อมขยายความต่อว่า
“เมื่อก่อนเราเชื่อว่าผู้หญิงจะเป็นเด็กสาว เป็นแฟน เป็นภรรยา และเป็นแม่ โดยผลัดกันไปทีละช่วงชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเป็นแม่แล้ว หลายคนอาจละทิ้งตัวตน ความคิดความฝันของตัวเองไปอยู่ที่ลูกเกือบทั้งหมด แต่ตอนนี้เป็นยุคที่ผู้หญิงผสมผสานความเป็นแม่และการเป็นตัวของตัวเองไว้ด้วยกัน โดยไม่ต้องแยกกันเหมือนเป็นคนละคน เราจึงเห็นแม่ยุคใหม่ คือผู้หญิงที่มีลูกโดยที่เธอยังไม่สูญเสียจุดยืนของตนเอง เธอยังมีความคิด ความต้องการ และใช้ชีวิตอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปต้องการเหมือนสมัยก่อนจะมีลูก ปัจจุบันจึงพบคุณแม่หุ่นดี ออกกำลังกายเต็มที่ รับประทานอาหารออร์แกนิก อาหารมังสวิรัติ ท่องเที่ยวเปิดโลกแม้ท้องโต หรือมีรถเข็นเบบี๋ไปด้วย ใส่ชุดแฟชั่นแทนชุดแม่ท้องเชยๆ แต่งหน้าสวยเบาๆ แม้จะเข้าห้องคลอด โดยไม่รู้สึกว่าทำอะไรผิดแปลกและมีความสุขกับสิ่งที่เธอทำ ทั้งหมดนี้ เพราะคุณแม่เจนเอ็มภูมิใจในตัวเองพร้อมๆ ไปกับภูมิใจในความเป็นแม่นั่นเอง”
แม่ๆ กับสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย
ประสบการณ์ถึงการเติบโตของการใช้งานสื่อออนไลน์ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ของแม่เจนเอ็ม อีกทั้งยุคนี้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายได้ด้วยตนเอง จากเครื่องมือ Audience Insights ที่ทางเฟซ
บุ๊กได้จัดทำไว้ และยังได้นำกรณีศึกษา (Case Study) จากผู้ประกอบการที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ จากการใช้สื่อออนไลน์ รฐิยา อิสระชัยกุล ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจเอสเอ็มอีเฟซบุ๊กประจำประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงพฤติกรรมของแม่บนเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะผลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ว่ามีผลวิจัยการสำรวจถึงพฤติกรรมผู้หญิงในประเทศไทย ตั้งแต่อายุ 18-45 ปี
“กลุ่มคุณแม่มือใหม่เป็นกลุ่มที่เพิ่งจะมีลูกเป็นคนแรก นอกเหนือจากเล่าถึงตัวเขาเองจะใช้เฟซบุ๊กเล่าถึงเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ท้องปุ๊บก็ประกาศ แต่ส่วนใหญ่ช่วงนี้จะมีเทรนด์ต้องรอ 3 เดือนก่อนแล้วค่อยบอกในเฟซบุ๊ก ก็จะต้องมีรูปอัลตราซาวด์มาให้เราเห็น หลังจากที่มีน้องไปแล้วหรือช่วงที่ระหว่างตั้งครรภ์ก็ตาม เขาจะมีคำถามถึงปัญหาที่กำลังเผชิญ หรือต้องการคำแนะนำต่างๆ ก็จะมาโพสต์ถามในเฟซบุ๊ก มีการใช้เฟซบุ๊กกรุ๊ปศึกษาจากแม่คนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์มาแล้ว เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคนใกล้ตัวที่เป็นคุณแม่ที่ให้ถามได้ เขาก็จะต้องหันไปหากลุ่มเพื่อนที่จะให้การซัพพอร์ตข้อมูลต่างๆ เฟซบุ๊กกรุ๊ปก็เข้ามา พฤติกรรมของกลุ่มนี้จึงใช้เฟซบุ๊กกรุ๊ปเพื่อที่จะเข้าไปเรียนรู้จากแม่ท่านอื่นๆ”
กลุ่มคุณแม่ที่มีประสบการณ์ เป็นกลุ่มที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคนหรือลูกเริ่มโตแล้ว รฐิยา บอกว่า กลุ่มนี้ก็ยังใช้เฟซบุ๊กอยู่ เรื่องต่างๆ ที่โพสต์ รวมไปถึงการแชร์ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องตัวเอง เรื่องของลูกๆ เรื่องของพัฒนาการในสเต็ปต่างๆ
“เช่น ลูกเข้าโรงเรียน ลูกสอบได้ ลูกสอบติดที่นั่นที่นี่ แต่สิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้เขาแตกต่างจากคนกลุ่มแรก คือเขารู้สึกว่าอยากแสดงความภาคภูมิใจ รู้สึกดีว่าลูกเขาเก่ง ลูกสอบติด หรือลูกเขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ โดยจะวัดจากยอดไลค์และคอมเมนต์”

รับมือแม่เจนเอ็มอย่างเท่าทัน
สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันอาร์แอลจี กลุ่มบริษัท อาร์แอลจี ได้นำเสนอข้อมูลสำหรับพ่อแม่ไทยยุคเจนเอ็ม เพื่อทำความเข้าใจกับสภาวะครอบครัวไทยในยุคหน้า ปัญหาที่ต้องเผชิญและการเตรียมตัวรับมือของพ่อแม่
“ชีวิตแม่สมัยนี้มีความเป็นอยู่ที่ดีมากเมื่อเทียบกับแม่รุ่นก่อนๆ เพราะว่ามีตัวช่วยเยอะ เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงความรู้ต่างๆ ที่ไหลเวียนเข้ามาในชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็สามารถเลือกได้ และแม่รุ่นใหม่ก็เปิดใจกว้างมากขึ้นซึ่งเป็นไปตามยุคสมัยนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ 76% มีความกังวลเรื่องลูก เพราะฉะนั้นอาจมีข้อคิดได้ว่า ในขณะที่หลายอย่างสะดวกสบาย ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ แต่ก็ยังคงมีความกังวลอยู่ เพราะแม่บางคนมีสถานภาพทับซ้อนกันอยู่ ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายๆ เหมือนตอนที่เราเป็นสาว เรื่องสำคัญหลายเรื่องมันเกิดขึ้นมาในวันที่เป็นแม่”
สุภาวดี ชี้ถึงปัญหาพื้นฐานของคนที่เป็นแม่ ไม่ว่าแม่ยุคไหนๆ ก็ตาม ว่าความเป็นแม่และการเลี้ยงลูกไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องบ้านๆ โลกวันนี้และวันหน้ามีแต่จะยากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงสภาวะเด็กและเยาวชนไทยตกต่ำ ไม่ว่าเทรนด์ของพ่อแม่จะไปอย่างไร? ไลฟ์สไตล์จะเป็นอย่างไร? แต่หลักคิดของการเป็นพ่อแม่มีอยู่คือ
1.ตระหนักถึงคุณค่าและหลักคิด การสอนลูกให้เป็นคนดี สอนลูกให้พึ่งตัวเองได้ สอนลูกให้เป็นคนเอื้อเฟื้อแบ่งปัน
2.มีสติ พ่อแม่ต้องตั้งสติกับข้อมูลที่มันไหลเชี่ยว
3.เรียนรู้ต่อเนื่อง สร้างโอกาสการเรียนรู้ เข้าใจโลกที่มันซับซ้อน รู้จักตัวเอง รู้จักลูก และพัฒนาการของเด็ก
4.สมดุล การรักษาสมดุลชีวิต แม่ต้องมองเห็นทุกด้าน บาลานซ์ทุกมุม เพื่อชีวิตที่ดีและสมดุล
5.การรักษาฐานทุนชีวิต ข้อมูลทางเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งในโลกก็ไปในทิศทางนี้ หมายความว่า 30 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2523 ครอบครัวขยายมีอยู่แค่ 25% แต่ปัจจุบันมีถึง 36% ครอบครัวเดี่ยว 70% ปัจจุบันนี้เหลือประมาณ 50% คือสัญญาณที่ดีมากว่า แม่รุ่นใหม่เจนเอ็มสามารถที่จะใช้ทรัพยากรชีวิตที่มีมาตามธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ เพราะไม่มีใครช่วยได้ดีเท่ากับปู่ย่าตายาย และยังรวมถึงวัฒนธรรม ภูมิปัญญา
6.ตั้งเป้าหมาย ทำอย่างไรให้พ่อแม่ปักหมุด มีความคิดและเป้าหมาย และค่อยๆ พาลูกของตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้