ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
15 กันยายน 2559 เวลา 11:22 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/454537

โดย…จตุรภัทร หาญจริง ภาพ… รอยเตอร์ส
สองอาทิตย์ก่อนผมรู้สึกไม่สบาย พอไปหาคุณหมอ นอกจากคุณหมอจะตรวจอาการและเขียนใบสั่งยาตามปกติ คุณหมอยังได้แนะนำให้ผมดื่มน้ำเยอะๆ เพราะเห็นว่าปากของผมนั้นแห้งผากเหมือนคนขาดน้ำ ซึ่งการดื่มน้ำน้อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเกิดอาการไม่สบายได้ง่าย
จากการไม่สบายของผมในครั้งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าเรามองข้ามความสำคัญของน้ำไปไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหากร่างกายของเราขาดน้ำไปเกิน 5 วัน เราก็อาจเสียชีวิตไปได้โดยง่าย
ในเมื่อร่างกายของเรามีน้ำอยู่ถึง 70% ในแต่ละวันเราจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำที่สะอาดวันละไม่ต่ำกว่า 8 แก้ว (แก้วละ 240 ซีซี) เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล สมดุลที่ว่าก็คือน้ำสะอาดที่เราดื่มเข้าไปมันต้องเท่ากับสิ่งที่เราขับถ่ายออกมา ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ หรือแม้กระทั่งลมหายใจของเรานั่นเอง ยิ่งวันไหนเราได้ออกกำลังกาย ร่างกายเราเสียน้ำทางเหงื่อเยอะเป็นปกติอยู่แล้ว เรายิ่งต้องดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ว่าแต่คุณเคยสงสัยไหมว่าน้ำเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้อย่างไร และทำไมมันถึงได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ที่มีน้ำอยู่ในร่างกายถึง 70% มากมายถึงเพียงนี้
ผมไปอ่านเจอบทความหนึ่งจากเว็บไซต์หนึ่ง โดยตอนหนึ่งของบทความชิ้นนี้ได้บอกเล่าว่า มีนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า 98% ของน้ำที่อยู่บนพื้นโลกในช่วงที่โลกเพิ่งก่อตัวใหม่ๆ นั้น มาจากอุกกาบาตที่มีน้ำแข็งเกาะติดอยู่ ซึ่งเป็นอุกกาบาตที่เกิดในช่วงการก่อกำเนิดของระบบสุริยจักรวาล และเชื่อว่าพุ่งชนโลกเมื่อราว 4,500 ล้านปีที่แล้ว
และที่มันได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตอย่างเราๆ ท่านๆ นั่นเป็นเพราะว่ามันได้ช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร ละลายสารอาหาร และออกซิเจน ทำให้เลือดไหลเวียนดี ละลายสารพิษต่างๆ เพื่อนำออกจากร่างกาย ช่วยหล่อลื่นเนื้อหนังและข้อต่อต่างๆ ให้ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณของเราดีอีกด้วย แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น น้ำที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย ต้องไม่มีเชื้อที่อาจทำให้เกิดโรคโดยน้ำเป็นสื่อ ไม่มีสารพิษเจือปน ซึ่งถึงมีเจือปน ก็ต้องไม่เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ (ไม่เจือปนเลยดีที่สุด)
แล้วถ้าเราไม่ได้เป็นผู้นำน้ำเข้าสู่ร่างกาย แต่มันดันเข้าสู่ร่างกายของเราโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เช่น สำลักน้ำ หรือจมน้ำ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำที่เราสำลักเข้าไป หรือพื้นที่ที่เราจมน้ำนั้น เช่น สระว่ายน้ำ คู คลอง หนอง บึง บ่อน้ำ ทะเล น้ำตก จะไม่มีสิ่งเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา และเป็นผลทำให้เราเสียชีวิตได้ในท้ายที่สุด
หากเราอยากรู้ว่าสิ่งเจือปนในน้ำที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา และเป็นผลทำให้เราเสียชีวิตได้นั้นคืออะไร นอกจากเชื้อราที่ชอบกินโปรตีนและไขมัน โดยเฉพาะสมองที่มีผลไปสู่ปอด กระแสเลือด และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเจ้าScedosporium ซึ่งพบได้ตามบริเวณที่ที่มีสิ่งสกปรกทับถมกันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำเน่าเสีย แหล่งน้ำขนาดใหญ่ กองขยะสด บ่อพักสิ่งปฏิกูล รวมถึงในพื้นดินที่มีความชื้นตลอดเวลาและไม่ถูกแสงแดด แม้แต่ในน้ำตก หรือทะเลที่มีของเสียหรือขยะปนเปื้อนมากๆ ก็ยังมีเชื้อราตัวนี้
นอกจากนี้ ก็ยังมีสิ่งเจือปนในน้ำ ซึ่งในเว็บไซต์ของกรมอนามัยได้บอกเล่าว่า สิ่งเจือปนในน้ำนั้นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ เชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก และสารเคมี ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในน้ำ ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต มีอันตรายต่อร่างกายเรามากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับชนิด จำนวน ความรุนแรงของเชื้อโรค และความไวต่อเชื้อโรคของตัวเราเอง โดยเชื้อแบคทีเรียทำให้เราป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วง บิด และไทฟอยด์ เชื้อไวรัสทำให้เราป่วยเป็นโรคตับอักเสบชนิดเอและบี ส่วนพยาธิที่ติตต่อสู่คน ได้แก่ พยาธิใบไม้เลือด พยาธิตัวตืด และพยาธิตัวกลม
ในส่วนของโลหะหนักและสารเคมี ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท และสารหนู โดยอันตรายของแคดเมียม ถือเป็นสารเคมีที่มีอันตรายต่อร่างกายของเราสูง เมื่อเข้าสู่ร่างกายเพียงเล็กน้อยจะมีผลต่อระบบไต ความดันโลหิต หัวใจวาย เป็นแผลเรื้อรังในปอด ถุงลมโป่งพอง และทำให้กระดูกเปราะ แตก มีรูปร่างผิดปกติ ในส่วนของตะกั่ว เป็นอันตรายต่อสมอง ตับ ตับอ่อน กระดูก หัวใจ และระบบประสาท สำหรับปรอท ถือเป็นสารเคมีที่มีพิษสูง หากไปสะสมที่อวัยวะส่วนใด ก็จะทำให้อวัยวะส่วนนั้นพิการ ซึ่งพบมากที่สุดคือ สมอง ไขสันหลัง และระบบประสาท ในส่วนของสารหนู พิษของสารหนูจะส่งผลกระทบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งในกรณีเฉียบพลัน จะมีผลต่อระบบหัวใจ โลหิต ปัสสาวะ ทางเดินอาหารและประสาท ส่วนผลเรื้อรังทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
ย้อนไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เราคงยังพอจำกันได้กับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อนักร้องชื่อดังแห่งวงดีทูบี บิ๊ก-ปาณรวัฐ (อภิเชษฐ์) กิตติกรเจริญ เกิดอุบัติเหตุขับรถตกน้ำครำจนสำลักน้ำ โดยเชื้อราได้เข้าไปกัดกินในสมองของเขา ทำให้เขาต้องผ่าตัดถึง 5 ครั้ง กลายเป็นเจ้าชายนิทรา จนกระทั่งเกิดอาการปอดติดเชื้อและเสียชีวิตในท้ายที่สุด
เราคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใคร โดยเฉพาะลูกหลานของเรา สิ่งที่เราต้องเตรียมรับมือกับสิ่งไม่คาดฝันทุกชนิด ไม่ว่าจะลงไปว่ายน้ำ หรือขับรถตกลงไป หรือจมน้ำในสระว่ายน้ำ คู คลอง หนอง บึง บ่อน้ำ ทะเล น้ำตก จนสำลักน้ำ หรือแม้กระทั่งดื่มน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไป คือเราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่า เรามีสิทธิได้รับอันตรายจากน้ำที่เข้าสู่ร่างกายเราไม่มากก็น้อย อย่าลืมว่าในความใสของน้ำเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ยิ่งถ้าน้ำนั้นไม่ใส ขุ่น มัว เน่า มีสี หรือมีสารเคมีคงค้างอยู่ ก็ตั้งสมมติฐานได้เลยทันทีว่า ไม่ปลอดภัยต่อร่างกายของเราอย่างแน่นอน หากป้องกันได้ ก็ให้รีบป้องกัน เพราะกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ แต่ถ้าป้องกันไม่ได้ หรือแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบไปพบคุณหมอใกล้บ้านให้เร็วที่สุด
ว่าแต่น้ำนั้นก็เหมือนจิตใจคนที่ยากแท้หยั่งถึง คุณว่าจริงไหมครับ?