ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
11 กันยายน 2559 เวลา 10:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/453820

โดย…อณุสรา ทองอุไร ภาพ : ภัทรชัย ปรีชาพานิช
ระยะ 7-8 ปีมานี้คนรุ่นใหม่สนใจเรื่องกระแสทฤษฎีแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวงสอนไว้ และอาจจะสงสัยว่าทำได้จริงไหม เพราะอาจจะมีหลายคนกังขาว่าความพอเพียงมักจะหมายถึงแค่พอมีพอใช้ แต่จะให้เหลือกินเหลือเก็บเป็นกอบเป็นกำสร้างเงินก้อนโตนั้น คงจะเป็นไปได้ยากสักหน่อย แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กำลังจะกลายเป็นจริง โดยชาวนาพันธุ์ใหม่ 1 ไร่ 1 แสน ที่เขียนโดย ปกรณัม ทับเที่ยง ซือแป๋แห่งทุ่งบางตะไนย์ หนังสือมีชื่อว่า ชาวนาอัจฉริยะ 1 ไร่ 1 แสน (มหาวิทยาลัยบนคันนา)
เขาเป็นเด็กชนบทอยู่ในทุ่งไร่ทุ่งนา เคยได้สัมผัสประเพณีลงแขกนวดข้าว ในช่วงที่หัวลมหนาวโชยมา ยังจำได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของฟางใหม่ ไออุ่นจากฟางข้าวที่ยังปลอดสารเคมี แต่เพราะต้องมาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ และกลายเป็นมนุษย์เงินเดือนในหน้าที่วิเคราะห์ออกแบบระบบและเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หลังจากที่อิ่มตัวในระบบและวงจรชีวิตที่ซ้ำจำเจ ก็ก้าวออกไปแสวงหาชีวิตอิสระด้วยการคืนสู่ธรรมชาติ เข้าป่าดูนก ดูผีเสื้อ ดูดาว จนในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกมาค้นหาที่ทางที่แท้จริงของตัวเองอย่างจริงจัง
เขาเคยเขียนหนังสือแนวธรรมชาติ ชมนกชมไม้ และแนวจิตวิทยา มาแล้ว 2 เล่ม โดย 1 ไร่ 1 แสน เป็นงานเขียนเล่มที่ 3 ของเขา เขาบอกว่า หลังจากที่ลาออกจากงานประจำ เขาก็คิดหาช่องทางจะไปทำการเกษตรแบบปลอดสารเคมี แต่ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้มากนักกำลังหาข้อมูลอยู่ บังเอิญได้ไปเจอกลุ่มพิพิธภัณฑ์เกษตร ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้า จัดทำโครงการ 9 ไร่ 9 แสน เขาสนใจพร้อมทั้งสงสัยว่าจะทำได้จริงหรือจึงไปสมัครเรียน ซึ่งต้องเรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเป็นเวลา 5 เดือนกว่าๆ ซึ่งมีผู้ไปสมัครเรียนเป็นจำนวนมาก แต่รับสอนได้เพียง 9 คนและเขาเป็น 1 ในนั้น แม้จะโตมาจากเด็กบ้านนอกแล้วมาเรียนหนังสือ แค่เห็นพ่อแม่ทำแต่ตัวเขาเองไม่ได้ลงไปสัมผัสจริงจังความรู้มีแบบงูๆ ปลาๆ ถ้าจะทำจริงจังก็ต้องมีองค์ความรู้ที่แน่นหนา จึงหาที่เรียน พอมาเจอที่นี่สนใจและสมัครเข้าไปเรียนแล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะสิ่งที่ได้เรียนนั้นถือเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้สู่ภาพลักษณ์ที่ดี
“ตอนที่ไปเรียนก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะต้องมาเขียนหนังสือนะ เราจะไปเรียนเอาความรู้มาใช้ แต่พอไปเรียนแล้วมันทำได้จริง การจะรับคนเข้าเรียนเขาก็จำกัดจำนวน แล้วต้องใช้เวลา 5 เดือนกว่า ก็เสียดายว่าเป็นเรื่องที่ดีควรจะให้คนที่ไม่มีโอกาสได้ไปเรียนได้อ่านหรือคนอื่นๆ ที่สนใจแนวทางนี้ได้อ่านกัน เพราะเป็นประโยชน์ทำได้จริง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือคนรุ่นใหม่ที่อยากจะไปทำไร่ทำนา เปิดใจจากกรอบความคิดเดิมๆ ที่เคยได้รับรู้มา” เขาเล่าถึงที่มาของหนังสือเล่มนี้

ภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ก็คือการให้ความรู้เรื่องการปลูกพืชเกษตรทางเลือกแบบผสมผสาน ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้เป็นการเกษตรแบบยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการทำนาด้วยองค์ความรู้ใหม่ๆ วิธีคิดใหม่ๆ ที่ต้องเปิดใจกว้างให้หลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ คือถ้าทำแบบเดิมๆ ยุคที่ปู่ย่า พ่อแม่ เคยทำก็ไม่ได้นะ
มันเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ มีความรู้ เอาเรื่องการตลาด เอาเรื่องเทคโนโลยีเข้าไป ข้าวที่ได้ก็ไม่ไปขายโรงสีหาตลาดเองทำตลาดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กผู้ปลูกกับผู้กิน ติดต่อกันโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางเป็นการทำเกษตรที่มีความสุข เอาวิธีคิดมุมมองใหม่ๆ ใส่ลงไป
“ถ้ามีหัวการค้า มีความคิดสร้างสรรค์ 1 ไร่ นี่อาจจะทำได้มากกว่า 1 แสนด้วย เช่น เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ดเสริม ในน้ำก็เลี้ยงปลา หมดหน้านาก็ปลูกเผือกปลูกมัน พวกพืชระยะสั้นเสริม ทำน้ำส้มควันไม้ ทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพใช้เอง”
เขาใช้เวลาเขียนหนังสือเล่มนี้เกือบ 1 ปี พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2558 และปี 2559 นี้เขาก็ได้รางวัลรองชนะเลิศจาก สพฐ. และรางวัลชนะเลิศจากเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ปีนี้เช่นกัน
หนังสือเล่มนี้จะเล่าถึงการทำนาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ การปลูกแบบปลอดสารพิษ คนที่ไม่มีความรู้ไม่เคยทำนามาก่อนสามารถใช้หนังสือเล่มนี้เป็นคัมภีร์ในการปลูกข้าวได้เลย บอกเล่าถึงเรื่องธรรมชาติดินฟ้าอากาศเสริมเข้าไป ทำเกษตรแบบประณีตมีความสุขกับชีวิตที่ช้าๆ แต่งดงาม
นอกจากนี้เขายังได้สัมภาษณ์คนรุ่นใหม่ที่ลงมือทำนาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เป็นประสบการณ์ตรงจากหลายๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากคนหลากหลายอาชีพ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน ไม่ว่าจะทำงานโรงงานมาก่อน หรือทำงานเป็นผู้บริหารมาก่อนก็มี ไม่ว่าอ่านเพื่อเป็นข้อมูลหรือจะอ่านเพื่อลงไปทำนาทำไร่จริงๆ เขาคิดว่ามันได้ประโยชน์อย่างแน่นอน