ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
12 กันยายน 2559 เวลา 11:19 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/453896

โดย…โสภณ ศุภมั่งมี ภาพ unsplash.com
ถ้ามีใครถามว่าอะไรคือมาตรวัดการเติบโตของคนคนหนึ่ง จากวัยรุ่นสู่การเป็นผู้ใหญ่ในสังคม หลายคนอาจมองไปถึงสิทธิการโหวตเลือกตั้งเมื่ออายุ 18 ปีบริบูรณ์ เพราะถือว่าคุณอยู่ในช่วงวัยของชีวิตที่มีวุฒิภาวะมากพอในการตัดสินใจเลือกผู้นำของประเทศ มีโอกาสในการตัดสินใจซื้อ (หรือไม่ซื้อ) บุหรี่ตามร้านขายของได้อย่างถูกกฎหมาย หรือนานกว่านั้นหน่อยเป็นใบปริญญาบัตรการจบมหาวิทยาลัย เมื่อออกจากรั้วการศึกษาปุ๊บบุคคลเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ไปโดยปริยาย บางคนอาจจะตอบว่าการเป็นผู้ใหญ่คือการเริ่มต้นหางานทำสร้างรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง ไม่พึ่งพาหยาดเหงื่อบุพการีอีกต่อไปต่างหาก สำหรับผมสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอก เป็นสิ่งที่สังคมมองเห็นและใช้เป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานทั่วไป ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็น “ผู้ใหญ่” เลยแม้แต่นิดเดียว
หลายวันก่อนผมได้มีโอกาสพูดคุยกับรุ่นน้องผู้หญิงที่ทำงานคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กบ้านนอกอายุหย่อนยี่สิบลงมาหนึ่งปี เธอยังไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้อย่างถูกกฎหมาย ไม่สามารถออกท่องราตรีเที่ยวผับบาร์โดยไม่ถูกตำรวจจับได้ ยังอยู่ในช่วงสุดท้ายของวัยทีนที่ชีวิตยังมีเรื่องราวอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า ถ้าเป็นเด็กธรรมดาทั่วไปอายุประมาณนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของถนนชีวิต กำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่ง มีความรักแรกกับรุ่นพี่ที่คณะ หนุ่มๆ มากหน้าหลายตามารุมจีบหมายปอง อาจจะกำลังสมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์และซ้อมหนักเพื่อการแข่งขันกีฬาครั้งต่อไป อาสาสมัครไปค่ายทำกิจกรรมที่สนใจ กำลังค้นหาตัวเองว่ารักอยากเป็นอาชีพอะไรหลังจากเรียนจบ มีกลุ่มเพื่อนซี้ที่เกาะกลุ่มไปกินข้าวเดินช็อปปิ้งด้วยกันหลังเลิกเรียน โดดเรียนจับกลุ่มนั่งนินทาอาจารย์ที่ตัวเองไม่ชอบ นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบใต้ตึกคณะหามรุ่งหามค่ำช่วงสอบปลายภาค ชวนกันไปเที่ยวช่วงวันหยุดฤดูร้อนคราวหน้า มันเป็นช่วงวัยแห่งความเป็นไปได้ ช่วงเวลาแห่งการก่อร่างสร้างความทรงจำที่งดงาม ช่วงชีวิตที่มีแต่ประตูแห่งโอกาสเปิดรอไว้ข้างหน้า
แต่สำหรับรุ่นน้องของผมมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
เธอตั้งท้องตั้งแต่อายุน้อยเพียง 16 ปี ความอยากรู้อยากเห็นและการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวได้พรากโอกาสมากมายในชีวิตของเธอไปจนหมด ปิดทุกประตูที่เคยเปิดรอไว้สำหรับเธอ และความทรงจำเดียวเกี่ยวกับผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กคือการบอกลาและความรักที่จอมปลอม แต่อะไรที่น่าแปลกใจรู้ไหมครับ? เธอเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังพร้อมรอยยิ้มไม่ใช่หยดน้ำตา ผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กอายุแก่กว่าไม่กี่ปีได้ปลีกตัวหายไปจากชีวิตเธอตั้งแต่ทราบว่าเธอตั้งครรภ์ “เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเลยค่ะ หลังจากที่หนูท้อง เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะรับผิดชอบ ไม่ได้ตั้งใจทำงานเป็นหลักแหล่งด้วย หนูเลยตัดสินใจเลิก เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ด้วยกันต่อไป” ผมอึ้งไปชั่วขณะกับคำตอบที่แข็งแกร่งของรุ่นน้องคนนี้
ผมถามเธอต่อว่า “ไม่เสียใจเหรอที่ไม่มีโอกาสเรียนจนจบมัธยมปลายกับเพื่อนๆ?” เธอบอกว่า “แน่นอนเป็นเรื่องที่เสียใจอยู่แล้ว แต่หนูท้องโตขึ้นทุกวันไปโรงเรียนก็ไม่ได้ เลยลาออกและสมัครเรียน กศน.แทน ตอนนี้เหลืออีกเทอมเดียวก็จบ ม.6 แล้วค่ะ” เธอยังคงยิ้มตอบอย่างมีความสุข
เธอเล่าต่อ “ตอนที่หนูเจอผู้ชายคนนั้นนะ หนูตกหลุมรักหัวปักหัวปำเลย อยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาก่อนด้วยมั้งคะ ทำให้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้ชายที่มีประสบการณ์มากกว่า การขาดความยั้งคิด เพราะคำว่า ‘รัก’ ที่เขาพร่ำบอก หนูก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่หนูเตือนแล้วแต่ก็ด้วยความหัวดื้อ สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี้แหละค่ะ ลูกชายจะสามขวบแล้วตอนนี้”
“พี่ถามอะไรหน่อยสิ ตอบตรงๆ หรือถ้าไม่อยากตอบเลยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน” ผมเริ่มถาม เธอทำหน้าสงสัย
“ตอนที่รู้ว่ามีน้องในท้อง เคยคิดจะเอาออกไหม? ทำแท้งเพราะคิดว่าตัวเองยังเด็กเกินไป?” คำถามถูกเอ่ยออกไปก่อนที่เธอจะนิ่งเงียบทำหน้าครุ่นคิด ผมรู้สึกหนักใจว่าเป็นคำถามส่วนตัวเกินไปรึเปล่า แต่ความอยากรู้ว่าเด็กอายุแค่นี้ทำไมถึงมีความเข้มแข็ง หัวใจแกร่งกว่าใครอีกหลายคนที่ผมเคยรู้จักและจากข่าวอันแสนรันทดที่ได้อ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน
“อืมมม…ก็ไม่นะคะ หนูรู้ว่าหนูพลาด แต่น้องไม่ได้ผิด หนูไม่มีโอกาสได้ใช้วิถีชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่หนูก็ไม่คิดว่ามันสำคัญกว่าชีวิตของน้องเลยค่ะ”
นั่นคือคำตอบของเด็กผู้หญิงบ้านนอกอายุ 19 ปีคนหนึ่ง ที่ต้องออกจากโรงเรียนตอนมัธยมสี่เพื่ออุ้มท้องลูกคนแรก ไม่มีสามีคอยช่วยเหลือเรื่องรายได้เลี้ยงดู ต้องหางานทำตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อเลี้ยงดูบุตรชายตัวน้อย
สำหรับผมความรับผิดชอบแบบนี้แหละครับที่เรียกว่าการเติบโตเป็น “ผู้ใหญ่” อย่างแท้จริง เธอพยายามทำหน้าที่ของแม่คนหนึ่งอย่างเต็มที่ ปกป้องดูแล รักและเอาใจใส่อีกชีวิตหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง
บางคนอาจพูดว่าเพราะเธอพลาดเอง เธอเลยต้องมาตกที่นั่งลำบากแบบนี้ ใช่ครับมันเป็นการตัดสินใจเร็วด่วนได้ชิงสุกก่อนห่าม เฉกเช่นที่มันเกิดขึ้นกับวัยรุ่นมากมายในยุคสมัยหัวใจ 4G แบบนี้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่ยืนหยัดกล้าตัดสินใจ ยืดอกยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ไว้ด้วยตัวเองโดยไม่จ่ายค่าการตัดสินใจอันพลั้งเผลอด้วยหัวใจดวงน้อยๆ ที่เต้นอยู่ในท้อง เชื่อผมไหมครับว่ามันมีน้อยมาก ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่ตัดสินคนเพียงภาพลักษณ์ภายนอกอย่างนี้
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเด็กคนนี้ เชื่อว่าลูกของเธอถ้ารู้เรื่องนี้ก็คงภูมิใจในตัวแม่ของตัวเองมากเช่นเดียวกัน
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาผมเจอข่าวอยู่หลายชิ้นเกี่ยวกับดาราบ้านเมืองเรา โดยเฉพาะผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วไปหาเศษหาเลยมีบ้านเล็กบ้านน้อย บ้านหน้าซอยท้ายซอยทำตัวเป็นปลาไหลตัวเป็นเมือก เห็นแล้วรู้สึกสงสารภรรยาและบางบ้านก็รวมไปถึงลูกตัวน้อยที่เรียกพวกเขาว่า “พ่อ”
ในความเห็นส่วนตัวผมรู้สึกว่าพวกผู้ชายเหล่านี้ยังไม่ได้เติบโตขึ้นเลยจากความเป็นเด็กวัยรุ่น ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพียงเพราะความอยากได้ในชั่วเวลาขณะนั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามติดตัวมา ทั้งครอบครัวที่แตกระแหง การทำร้ายจิตใจของคนที่คุณเรียกว่าภรรยา ไม่นับไปถึงการทำลายหัวใจดวงน้อยๆ ให้แตกสลายไปในเวลาเดียวกันอีกด้วย
การเติบโตกับหน้าที่ความรับผิดชอบนั้นเป็นเส้นคู่ขนานที่มาด้วยกันเสมอ เมื่อเราตกลงรับผิดชอบอะไรสักอย่างในชีวิต มันไม่ใช่แค่การทำอะไรส่งๆ เพื่อให้มันเสร็จไปเพียงเท่านั้น แต่คุณต้องใส่ใจและความรู้สึกลงไปด้วย ยิ่งเป็นความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัว หน้าที่การหาเงินให้ภรรยากับลูกสำหรับปัจจัยสี่นั้นไม่ได้เพียงพอเลย พวกเขานอนกอดกองเงินที่คุณหามาได้แต่มันไม่อุ่นหัวใจหรอกครับ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือปัจจัยที่ห้า ซึ่งก็คือความรักที่มั่นคงของคุณต่อพวกเขาต่างหาก
คำว่า “ไม่รู้จักโต” คงใช้ได้ดีกับพวกคนเหล่านี้ บางคนอายุปาไปสี่ห้าสิบแอบมีกิ๊กเด็กอายุรุ่นลูกรุ่นหลาน อย่าพูดถึงความรับผิดชอบต่อครอบครัวเลยครับ คำว่า “ยางอาย” ก็คงไม่รู้จักเช่นเดียวกัน
สำหรับวัยรุ่นแบบรุ่นน้องที่ทำงานของผม พวกเขายังเด็กอายุยังน้อย ยังพอเข้าใจว่าการตัดสินใจผิดพลาดเพราะความไม่รู้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และอย่างน้อยรุ่นน้องของผมก็ยืดอกรับมันไว้แม้ต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก
แต่สำหรับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าผิด ทำมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่าเรียกตัวเองว่า “ผู้ใหญ่” เลยครับ อายเด็กมันเปล่าๆ