ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
18 กันยายน 2559 เวลา 10:45 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/455212

โดย…เพรงเทพ ภาพ : กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย
การประกาศผลหนังสือรวมบทกวีนิพนธ์ที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ประเทศไทย) หรือซีไรต์ มีออกมาแล้ว ปีนี้มีด้วยกัน 6 เล่ม และหนึ่งในนั้นเป็นหนังสือชื่อ “พลัดหลงไปในห้วงเวลาของนักมายากล” ของวิสุทธิ์ ขาวเนียม กวีหนุ่มจากเมืองตรัง ซึ่งในอดีตเขาเคยได้รับรางวัลจากเวทีการประกวดต่างๆ มาแล้วมากมาย ทั้งรางวัลนายอินทร์ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด รางวัลพานแว่นฟ้า รวมถึงเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์มาแล้วด้วย
วิสุทธิ์ ถือเป็นกวีที่ทำงานด้านกวีนิพนธ์อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เขาอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา
“ผมเริ่มเข้าสู่วงการกวีครั้งแรกเมื่อปลายปี 2537 ตอนนั้นเป็นยุคที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬมาได้ระยะหนึ่ง นิตยสารการเมืองหลายเล่มต่างเหมือนพร้อมใจกันอวดโฉมบนแผงหนังสือ พร้อมกับหน้าคอลัมน์กวีที่เปิดรับผลงานกวีหลากรุ่น กวีหลายคนต่างแจ้งเกิดบนเวทีและผลิตงานกันอย่างมุ่งมั่น การแจ้งเกิดบนหน้านิตยสารยุคนั้นล้วนแต่ผ่านระบบคัดสรรจากบรรณาธิการบทกวีทั้งสิ้น ยุคนั้นคนเขียนกวีต่างผูกพันกันมาก มีการตั้งกลุ่มวรรณกรรมกันหลายกลุ่ม อย่างผมนี่ก็อยู่ในกลุ่มหน้ารามฯ”
แรงบันดาลใจในการเขียนบทกวีของวิสุทธิ์ เขาบอกว่าส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ชีวิต การใช้ชีวิตที่ข้ามไกลไปจากนิยามของคำว่า กวี
“คือข้ามไปเป็นคนธรรมดาสามัญที่เดินคู่ไปกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกกวีด้วยกัน ผมมักได้แง่มุมแง่คิดดีเสมอจากคนเหล่านี้ อีกอย่างผมเป็นคนที่ชอบคิดชอบตีความจากสัญญะต่างๆ รอบตัว เห็นนั่นเห็นนี่ก็คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไปเรื่อย”
วิสุทธิ์เท้าความถึงเส้นทางกวีในอดีตของตัวเขาเอง ก่อนที่จะขยายความถึงการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดของวงการกวีนิพนธ์ไทยในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
“ผมมองว่าพัฒนาการทางความคิดและรูปแบบวิธีการเขียนที่กวีเริ่มปลดปล่อยตัวเองจากกรอบฉันทลักษณ์ หันมาเขียนงานที่ไม่เคร่งครัดในรูปแบบ โดยเฉพาะกลอนเปล่าดูเหมือนจะเป็นทางออกสำคัญที่กวีเลือกนำเสนอความคิด เรื่องราวและจินตนาการ อีกอย่างหนึ่งก็คือการสูญหายไปของหน้านิตยสารที่เปิดรับบทกวี การหายไปของหน้านิตยสารนั้นได้กลับกลายเป็นการเขียนผ่านสเตตัสในหน้าเฟซฯ ตรงนี้อาจดีในแง่ที่กวีสามารถแสดงตัวตนได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน แม้ไม่ผ่านขั้นตอนบรรณาธิการก็ตาม กลุ่มวรรณกรรมที่เกาะติดสัมพันธ์กันกลายเป็นชุมชนวรรณกรรมที่คึกคักในโลกโซเชียลฯ แนวการเขียนก็น่าตื่นตาหลายคน
“การเปลี่ยนแปลงของวงการกวีมีมาทุกยุคสมัยนะครับผมว่า ตั้งแต่ยุคสุนทรภู่ ทอดยาวมาถึงยุคกลอนรัก กวีเพื่อชีวิต กระทั่งถึงยุคนี้ การเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์น่าอิ่มใจที่สุด แต่เรื่องที่น่าเศร้าสำหรับผม ก็คือ การแบ่งฝ่ายแบ่งฝักตามความคิดทางการเมืองที่สวมครอบกดทับกวีจนกลายเป็นความขุ่นข้องหมองใจ สรุปแล้ววงการกวีในรอบ 20 ปีนี้ ถ้าวัดจากความหลากหลายทางความคิดและรูปแบบการนำเสนอโดยส่วนตัวผมถือว่ามีสีสันมาก”
“พลัดหลงไปในห้วงเวลาของนักมายากล” เป็นงานที่วิสุทธิ์ บอกว่าเขียนขึ้นมาในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา คัดสรรจากชิ้นงานเกือบ 300 ชิ้น
“ช่วงหลังๆ มา ผมเริ่มหันมาทางกลอนเปล่า เล่มนี้เลยเป็นการรวมกลอนเปล่าและงานฉันทลักษณ์ในเล่มเดียวกัน ซึ่งเปิดภาคแรกด้วยภาคที่ชื่อว่า ‘หลับฝันอยู่ในกระเพาะนกกระจาบ’ เป็นภาคที่พูดถึงเรื่องราว กลิ่นอายของโลกใบเก่า คือ โลกของชีวิตพื้นถิ่นบรรพกาลที่ดูเหมือนกลายเป็นความฝันไปแล้ว สิ่งที่อยู่ในกระเพาะนกกระจาบคือเมล็ดข้าว เมล็ดข้าวฟ่างซึ่งเป็นคล้ายดั่งต้นทางที่มาของชีวิตเรา โลกใบนั้นหมุนวนอยู่ในมายากลแห่งฤดู ความเชื่อทั้งผีและพุทธ กสิกรรม คติชนวิทยาและศาสตร์ศิลป์ต่างๆ มายากลในโลกใบนั้นเป็นมายากลอันงดงามและทรงค่า ผมพูดถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ผูกพันอยู่กับดินฟ้า เมล็ดข้าวโพด ดอกไม้ ฝูงวัว ความล้ำลึกของมายากลแห่งจันทรคติเสกสร้างเห็ดปลวกให้ผลิบานในรุ่งเช้าวันพระ เนรมิตความงามของดอกโมกและชุบเลี้ยงผมจนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นดีเอ็นเอบรรพกาลในชีวิตปัจจุบัน”
วิสุทธิ์ เล่าต่อถึงเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ของเขาว่า จู่ๆ โลกก็เปลี่ยนโฉมหน้า ชีวิตพลันเติบใหญ่ไม่รู้ตัวและพลัดหลงเข้าสู่มายากลอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน นักมายากลปรากฏขึ้นทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ร่ายมนตร์หลอกหลอน
“นี่คือภาคที่ 2ผู้คนผ่านมายากลในรูปแบบต่างๆ นักมายากลหลอกให้ผู้คนสวมเสื้อคนละสี พูดจาคนละภาษา กอดกุมความเชื่อคนละชุด นับถือพระเจ้าคนละองค์ แยกนกออกจากฟ้า แยกปลาออกจากน้ำ กล่อมให้เกลียดชังและใช้ความรุนแรงต่อกัน นักมายากลเดินทางไปในพื้นที่ 3 จังหวัด สร้างสงครามขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยมไม่เว้นแต่ละวัน นักมายากลยังล่องหนไปยังบ้านของชาวมอแกนขับไล่ไสผลักเขาออกจากบ้านเกิดเก่าแก่ เขียนแผนผังนิคมอุตสาหกรรมขึ้นหมายยึดครองท้องทะเล นอกจากนั้นนักมายากลยังทำให้ปัจเจกบุคคลต้องลอยเรืออ้างว้างอยู่กลางคอนโด ภาคที่ 2 นี้จึงมุ่งเน้นนำเสนอมิติของมายากลในรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในบ้านเมืองนี้จนมองดูเหมือนไร้ทางออก”
ส่วนภาคที่ 3 วิสุทธิ์บอกว่าเป็นชื่อจำนวนที่เหลือของนกฝูงหนึ่งที่เขียนขึ้นเพื่อบอกว่าท่ามกลางมายากลอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนนั้นเรายังหลงเหลือความหวังสำหรับการมีอยู่ในวันข้างหน้า
“ยังมียามเช้าอันงดงาม มีโลกใบเติมที่ไม่มีดาวดวงใดในจักรวาลนี้จะมาเทียบแทนได้ เพราะท้ายสุดแล้วนักบินอวกาศที่มุ่งหน้าไปค้นหาดาวดวงใหม่ยังต้องวกกลับมายังโลกที่เราเหยียบยืน มนุษย์ไม่สามารถยิ้มกับผงฝุ่นบนดาวพลูโตได้อีก ทั้งไม่สามารถปลูกดอกไม้ให้งดงามบนดาวอังคาร มีแต่มนุษย์กับมนุษย์บนโลกนี้ที่ยิ้มให้กันได้อย่างงดงามที่สุด มีแต่ผืนดินนี้ที่ดอกไม้ผลิบาน ดังนั้นเราจำเป็นต้องรู้ทันมายากลและก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวังที่เหลืออยู่”
วิสุทธิ์ ทิ้งท้ายว่า มาถึงวันนี้เขายังเชื่อว่าการอ่านบทกวีคือศิลปะแห่งการขัดเกลาจิตวิญญาณให้ละเอียดอ่อนโยน เป็นความรื่นรมย์เอิบอิ่มข้างใน ความปีติอิ่มเอิบอ่อนโยนนี่แหละที่เป็นตัวบ่งชี้ว่ามนุษย์คือสายพันธุ์ชีวิตที่มีคุณค่าต่อโลกใบนี้