ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
07 กันยายน 2559 เวลา 11:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/452927

โดย…วราภรณ์
หน้าที่คอยดูแลเรื่องอาหารการกิน ส่งเสริมพัฒนาการการเจริญเติบโตของลูกอย่างใกล้ชิดต้องยกให้คุณแม่ ส่วนของคุณพ่ออย่าง พงศธร วงศ์หงษ์เหิร วัย 34 ปี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ของเซ็นทรัลพัฒนา ก็มีความสุขกับการดูแลบุตรชายหน้าตาน่ารักวัย 2 ขวบครึ่ง น้อง Winnie ด.ช.ธาวิน วงศ์หงษ์เหิร โดยมุ่งเน้นไปที่การให้การศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญต่ออนาคตลูกน้อย ค่าที่พงศธรเจริญเติบโตมากับครอบครัวที่เป็นพนักงานทำงานประจำ คุณพ่อคุณแม่ของเขาจึงปลูกฝังเสมอว่าการศึกษาเป็นสิ่งเดียวที่จะติดตัวลูกไป เพื่อไปต่อยอดเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ตลอดจนหาเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต เมื่อเขามีลูกจึงได้นำหลักคำสอนของคุณพ่อคุณแม่ส่งต่อไปดูแลลูกชายด้วยการตั้งใจส่งเสริมให้ลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็กๆ เพื่อความแข็งแรงทางด้านภาษา
“ตัวผมเองเรียนตามระบบการศึกษาไทยจนจบปริญญาตรี แต่ขอคุณพ่อไปไปศึกษาต่อ Master Degree ที่สหรัฐ จนจบกลับมาทำงานจนถึงทุกวันนี้ ส่วนลูกชายคือน้องวินนี่ ที่กำลังจะเข้าวัย 3 ขวบ ผมวางแผนการศึกษา ให้กับลูกในหลักสูตร International Program ซึ่งคิดว่าภาษาจะเป็นส่วนสำคัญต่อพัฒนาการ และวิชาชีพต่างๆ ในอนาคต นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาจีน และภาษาสเปน หากมีโอกาสก็อยากให้ลูกได้ศึกษาไว้เช่นกัน เพราะเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน”
ในฐานะพ่อแม่จึงเตรียมความพร้อมก่อนส่งลูกตัวน้อยเข้าโรงเรียน ด้วยการส่งลูกไปเรียนโรงเรียนอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนลตั้งแต่วัย 2 ขวบ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้การปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ เพราะสังเกตเด็กเล็กๆ เวลาอยู่บ้าน บางครั้งก็ถูกตามใจมาก ลูกจึงมักทำอะไรเองไม่ค่อยได้ แต่พอส่งไปโรงเรียนลูกสามารถปรับตัวเกิดการเรียนรู้ สามารถกินข้าวเอง มีคุณครูสอนจับช้อน รู้จักการถอดรองเท้าตรงไหนและนำไปเก็บให้เป็นที่
“พอลูกเข้าคอร์สปรับตัวสัก 12 ครั้ง โดยส่งไปเรียนเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์จากลูกที่เป็นเด็กงอแง พอไม่ได้อะไรก็โวยวาย ร้องเพื่อให้ได้สิ่งนั้น พอส่งไปโรงเรียน โรงเรียนจะช่วยให้ลูกปรับตัวได้ดีขึ้น ซึ่งคุณครูจะมีวิธีดูแลลูก ให้เขารู้จักพื้นฐานของการดูแลตัวเอง เช่น แปรงฟัน กินข้าวเอง กล่าวคำสวัสดี คือเป็นเด็กดีรู้จักมารยาทมากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งดี ผมคิดว่าการส่งลูกไปรู้จักการปรับตัวเป็นสิ่งจำเป็น เวลาเขาเข้าอนุบาลตอน 3 ขวบจะได้ไม่ลำบาก”
นอกจากให้ลูกรู้จักปรับตัวแล้ว การส่งเสริมด้านวิชาความรู้ คุณพ่อพงศธรก็ส่งเสริมอย่างเต็มที่ เมื่อลูกสามารถอ่านภาษาอังกฤษเอบีซี นับเลข 1 2 3 ได้แล้ว พอลูกอยู่บ้านกับผู้ปกครองก็ควรสอนทบทวนบทเรียน เพื่อลูกจะได้ไม่ลืม เป็นต้น
“ทุกวันทั้งคุณปู่คุณย่ารวมทั้งผมและภรรยาจะช่วยสอนลูกนับเลข ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ทบทวนชื่อสัตว์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งลูกมีการจดจำที่ดีมาก ทำแบบนี้แล้วเด็กจะไม่ลืม อาจเป็นเพราะตอนภรรยาของผมตั้งครรภ์สัก 3 เดือนผมก็เปิดเพลงโมสาร์ตเอาหูฟังติดที่ท้องเปิดให้ลูกฟังจนกระทั่งคลอด ผมคิดว่าได้ผล เพราะผมศึกษามาว่าโน้ตดนตรีของโมสาร์ตจะช่วยไปกระตุ้นสมองของเด็กในครรภ์”
สำหรับทักษะด้านกีฬาและดนตรีเขายังไม่เน้นเพราะคิดว่าลูกยังเด็ก รอให้เขาสัก 5 ขวบ เขาจะส่งให้ลองได้เรียนหลายๆ อย่าง ถ้าลูกชอบอะไร มีความสุขกับการทำสิ่งไหนเขาจะส่งเสริมเต็มที่ อีกสิ่งที่พงศธรอยากปลูกฝังให้ลูกคือ การมีเป้าหมายในชีวิต ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ต้องมีความมุ่งมั่น ไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่ตัวเองตั้งเอาไว้ตั้งแต่วัยเด็กเลยก็ว่าได้
“ผมคิดว่าการศึกษาเป็นจุดเริ่มต้น ในการพัฒนาขั้นพื้นฐานต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วพอถึงวัยที่ลูกเจริญเติบโต เริ่มมีความรู้ ความสามารถ มีความคิดเป็นของตัวเองแล้วคุณพ่ออย่างผมจะไม่รีรอที่จะเข้าไปแนะนำ พูดคุยกับลูกอย่างใกล้ชิดว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไรในอนาคต แต่จะไม่บังคับ หรือพูดชี้นำใดๆ เพื่อให้ลูกคล้อยตามหรือทำตามความต้องการของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะผมคิดว่าถ้าฝืนให้ลูกทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่รัก ผลออกมาก็จะไม่ดี สุดท้ายแล้วก็จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้
ถ้าลูกอยากเป็นนักกอล์ฟ พ่อก็จะไปหาโปรมาสอน ซ้อมวันละ 8-9 ชั่วโมงพ่อก็ยินดี อยากเป็นนักร้อง พ่อก็พร้อมจะพาลูกไป Audition ในทุกค่ายเพลง และทุกรายการประกวด ผมยกตัวอย่างให้ฟังเพราะไม่อยากให้ลูกเป็นคนที่ทำอะไรไม่มีเป้าหมายในชีวิต เพราะทุกเวลา ทุกนาทีมีค่า ไม่ใช่คิดแค่ว่าเรียนๆ ไปก่อน จบมาตอนอายุ 25-26 ปีกว่าๆ ค่อยหาอะไรทำ ผมคิดว่าถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากทำอะไร ผมเชื่อว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จก่อนคนอื่นๆ แน่นอน สุดท้ายนี้ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ลูกตั้งตนเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีมากก็รู้จักแบ่งปัน สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติต่อไปครับ”