พลิกด้านมืดของ ‘ชิ้งแคนคุก’ ซึมเศร้า โดดเดี่ยว และแปลกแยก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 ตุลาคม 2559 เวลา 10:37 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/457921

พลิกด้านมืดของ ‘ชิ้งแคนคุก’ ซึมเศร้า โดดเดี่ยว และแปลกแยก

โดย…วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

“กรี๊ดดดด กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดด…หนูมองแทบไม่เห็นทางแล้วตอนนั้น มองเห็นแต่ท้ายรถของเขาที่ขับหนีไปอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลพรากๆ มือจับแน่นอยู่ที่พวงมาลัย รีบขับตามเขาอย่างไม่ลดละ ไม่ใช่อยากตามเขานะ เขาทิ้งเรา หนูรู้ แต่หนูทิ้งเขาไม่ได้ หนูไม่รู้ทาง หนูไม่รู้จะไปต่อยังไง หนูไม่รู้อะไรเลย ถ้าทิ้งหนูไว้ตรงนี้ หนูจะตายตรงนี้!”

ใช่เธอจริงๆ หรือ? คำตอบคือ ใช่! คนที่พูดประโยคนี้คือชิ้ง หรือ กนกวรรณ อัศวานุชิต เจ้าของเว็บไซต์ ChingCanCook.com และเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก Fashion on Food ที่มียอดไลค์พุ่งลิ่วกว่า 3.2 แสนไลค์เข้าไปแล้ว บล็อกเกอร์อาหารสาวแสนสวยที่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 6 เชฟที่จะเข้าไปแข่งขันในรายการ “เชฟชนเชฟ” ซีซั่น 2 ทางช่องไทยพีบีเอสปลายปีนี้ ล่าสุดกำลังเขียนไกด์บุ๊กแนะนำร้านอาหารให้อมรินทร์คูซีน ซึ่งจะเป็นหนังสือเล่มที่ 3 ของเธอ

 

ถ้าคุณกำลังจับตาดูเธออยู่ ก็จะเห็นความสำเร็จที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสปอตไลต์แสงจ้า ไม่สักครั้งที่จะเห็นชิ้งไม่สวยหรือไร้ออร่า ทุกครั้งเมื่ออยู่หน้ากล้อง คือชิ้งในวัย 36 ปีที่กำลังเปล่งประกายเจิดจรัส ขนตาจัดเต็มกับรอยยิ้มบนลิปสติกสีแดงสดคือซิกเนเจอร์ของเธอ หากใครจะล่วงรู้ว่าอีกด้านของชิ้งแคนคุกก่อนหน้านี้ คือโรคซึมเศร้า ความโดดเดี่ยวและความเปลี่ยวเหงา อะไรที่ทำให้เธอกลับมา ยืนหยัดสร้างชื่อจนกลายเป็นบล็อกเกอร์อาหารที่ได้ชื่อว่าร้อนแรงที่สุดในปัจจุบัน

ย้อนกลับไปในบ่ายเย็นของวันนั้น หญิงสาวมองไม่เห็นทางออก เพราะน้ำตาที่เต็มนัยน์ตา แม้รู้ว่าเธอไม่เจนจัดเรื่องทิศทางการขับรถในเขตกลางเมือง แต่คนใจร้ายก็ทิ้งเธอไว้แล้วขับรถหนีไปอย่างไม่ยี่หระ หญิงสาวไม่มีหนทางอื่นนอกจากจะจี้ขับตามไปเหมือนนังผู้หญิงหน้าโง่ ที่ไล่ตามผู้ชายซึ่งไม่ต้องการตน เขารักเรามากและเราก็รักเขามาก แต่ทำไมล่ะ เรื่องนี้เหมือนกงเกวียนกำเกวียนของชะตาความรักที่ถูกกำหนดมาให้อาภัพ

 

แม่ของชิ้งเป็นชาวจีนมาเลเซีย ส่วนพ่อเป็นคนไทย พื้นเพของพ่ออยู่ที่ จ.ตรัง แต่เพราะถูกส่งไปเรียนหนังสือที่ปีนัง จึงได้พบกับแม่ ซึ่งขายเครื่องสำอางอยู่ในตลาดที่ปีนัง แม่เป็นคนสวยมาก ความสวยของแม่นั้นถึงขนาดที่ว่ามีคนมาทาบทามให้ไปประกวดมิสมาเลเซีย พ่อกับแม่รักกัน ตอนนั้นแม่เพิ่งอายุ 17 ปีและพ่อก็ยังหนุ่ม แต่เพราะพ่อเป็นเพลย์บอย จึงถูกกีดกันความรัก ครั้งหนึ่งพ่อกินยาฆ่าตัวตายเพราะคิดว่าจะไม่ได้แต่งงานกับแม่

“พ่อกินเหล้าและเจ้าชู้ แต่เพราะความรัก ทั้งคู่ก็พากันหนีมาอยู่กรุงเทพฯ เงินติดตัวในกระเป๋ารวมกันไม่กี่ร้อยบาท แม่เป็นคนสวยแต่ยอมมาลำบากกับพ่อ แสดงว่าต้องรักพ่อมาก” ชิ้งเล่า

ชิ้งเล่าว่า พ่อทำธุรกิจ “สายดาร์ก” ประเภทบาร์ คาราโอเกะ เปิดบริษัททัวร์ ร้านอาหารและอาบอบนวด เพราะธุรกิจของพ่อ ทำให้พ่อมีผู้หญิงในชีวิตเยอะ ปัญหาชีวิตคู่ก็เยอะตามมา อยู่ด้วยกัน 10 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน คือชิ้งและพี่ชาย ทั้งคู่เลิกรากันตอนชิ้งอยู่ ป.6 อายุ 10 ขวบ ตลอดระยะเวลาที่โตขึ้นมา ภาพที่จำได้คือภาพที่พ่อหายไปเป็นเดือนๆ แม่จะให้พี่เลี้ยงพาชิ้งและพี่นั่งรถทัวร์ไปเที่ยวไกลๆ ถึงตอนเย็นค่อยพากลับบ้าน เพราะไม่อยากให้ลูกเห็นแม่ร้องไห้เศร้าโศก แต่ชิ้งจำได้ทุกอย่าง

 

“ภาพที่ชินตาคือเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เบ้าตาของแม่ก็จะช้ำไปหมด เป็นรอยเขียวๆ ม่วงๆ เพราะไม่แค่ทะเลาะกันแต่ทั้งคู่ยังตบตีกันรุนแรง ถอดฉีกเสื้อผ้าข่วนทึ้งกัน เนื้อตัวต่างเป็นรอยข่วนเต็มไปหมด รถโรงเรียนมารับก็ไปเรียน ตอนเย็นกลับมาบ้าน ชิ้งจะมาแง้มประตูดูแม่ ไปแอบนอนข้างๆ เขา”

ชิ้งเล่าถึงตัวเองว่า เป็นเด็กมีปัญหา เพราะน้ำตาไหลตลอดเวลา แม้ในยามที่นั่งเรียนหนังสือในห้อง เมื่อครูเห็น ครูก็จะถามว่า “กนกวรรณ เธอเป็นอะไร” ครูจะเห็นใจและรักชิ้งมาก ประกอบกับเป็นเด็กเรียบร้อย อุปนิสัยสงบเสงี่ยม รู้จักวางตัวกับผู้ใหญ่ จึงเป็นที่รักของคุณครู ทุกท่านให้ความเอ็นดูสงสาร เปรียบประหนึ่งน้ำเย็นชโลมใจ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผ่านช่วงเวลาเลวร้าย

ปู่หรืออากงของชิ้งก็มีภรรยา 2 คน มาถึงพ่อก็บ้านแตกเหมือนกัน หรือชะตาคนบ้านนี้จะกงเกวียนกำเกวียนไม่รู้จบ พ่อเมื่อทิ้งร้างจากแม่ไป ก็มีภรรยาใหม่ เมื่อพ่อกลับมาเอาของที่บ้าน ก็เป็นช่วงที่พ่อมีลูกใหม่กับภรรยาใหม่แล้ว ชิ้งกลายเป็นคนเงียบ ที่เงียบแล้วก็เงียบหนักขึ้นไปอีก และจากเดิมที่เรียนหนังสือไม่เก่งมาแต่ไหน ก็ยังเรียนไม่เก่งอยู่ต่อไป พูดกับพ่อว่า อย่าเอาอะไรจากชิ้งนะ วัยเด็กของชิ้งจึงเป็นอะไรที่เงียบเชียบ เหมือนสายลมพัดแผ่วที่แทบไร้ความรู้สึก

 

ในความเงียบคือความคิด ชิ้งเล่าว่าแม้เด็กขนาดนั้นแต่ชิ้งก็คิดแล้ว คิดตามประสาเด็ก เช่น ถ้าเราหน้าตาดี เราอย่าแรดนะ ถ้าเราเป็นเด็กบ้านแตก เรายิ่งต้องทำตัวน่ารักนะ เราต้องไม่ทำตัวมีปัญหา เพราะครูต้องเรียกผู้ปกครองมา แล้วใครจะมาเพื่อเรา ไม่มีใครมาหรอก คิดเองเออเอง อยู่กับตัวเอง ไม่เล่นกับเพื่อน ชิ้งลายมือสวยเหมือนพ่อ คิด เขียนและอยู่กับตัวเองไปวันๆ เปรียบเทียบกับพี่ชายซึ่งปรับตัวได้ กลับถึงบ้านรีบทำการบ้านและนอนให้หลับไป แต่ชิ้งนั้นเคยถึงขนาดว่าแกล้งช็อก เพื่อให้พ่อแม่เลิกตีกัน

ชีวิตส่วนใหญ่โตมากับพี่เลี้ยง ไม่ได้เป็นเด็กเรียน แต่เป็นเด็กกิจกรรม ชิ้งเรียนชั้นอนุบาล-ป.4 ที่โรงเรียนดรุณพิทยา จากนั้นย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเซนต์จอห์น (สตรี) จนจบมัธยมปลาย เป็นเด็กกิจกรรม เก่งเลขแต่ไม่เก่งภาษา โดยเฉพาะภาษาไทยที่พูดไม่ชัด คุณครูดึงมาฝึกพูดฝึกเขียนไทย รำไทย ประกวดเรียงความระบายสี กิจกรรมนานาที่ช่วยให้เด็กน้อยเลือนลืมความเศร้า หากส่วนใหญ่เป็นเพราะความทุ่มเทของคุณครูที่ฝึกฝนให้อย่างเต็มกำลัง แม้ในเวลาพักกลางวันก็เรียกมาฝึกซ้อม ออกเสียงภาษาไทยให้ชัดถ้อยชัดคำ การกระทำของคุณครูทำให้ชิ้งซาบซึ้งใจ

“แม่พูดจีนฮกเกี้ยน ทำให้ชิ้งพูดไทยไม่ชัด ธงของชิ้งไม่ใช่รางวัลจากการประกวด แต่คือการทำให้คุณครูที่ทุ่มเทให้เรา เสียสละเพื่อเรา มีความสุข ไม่ผิดหวังเพราะเรา คุณครูรักเรา เราจะไม่ทำให้คุณครูผิดหวัง” ชิ้งเล่า

 

ชิ้งได้รางวัลที่ 2 จากการประกวดออกเสียงภาษาไทยระดับประเทศ ถือเป็นครั้งแรกของเซนต์จอห์น ซึ่งเป็นโรงเรียนฝรั่งแต่เข้าประกวดได้อันดับสำหรับเวทีเรื่องไทยๆ เรื่องที่พูดคือผลงานการเขียนเรียงความเรื่องพระคุณแม่ ต้องชนะระดับโรงเรียนก่อนจึงได้สิทธิเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดระดับประเทศ หน้าเวทีที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์วันนั้น โถงเย็นมาก ผู้คนขวักไขว่วุ่นวาย สรรพเสียงจ้อกแจ้กจอแจ คุณครูกระซิบกับเธอว่า ครูตื่นเต้นจัง

“เพียงเท่านี้ก็เหมือนชิ้งสับสวิตช์ได้ ชิ้งไม่โฟกัสที่ตัวเองอีกต่อไป แต่โฟกัสที่ครู ครูตื่นเต้น ครูทำเพื่อเรา ถึงตาเราที่จะต้องตอบแทนคุณครูบ้าง ตอบครูว่า หนูไม่ตื่นเต้นค่ะ ชิ้งก้าวฉับๆ ขึ้นไปหน้าเวทีเดี๋ยวนั้น ยืนนิ่งกลางเวทีหน้าไมโครโฟน ตัวตรงขณะที่สายตามองไปข้างหน้า ไม่ตื่นเต้น ไม่มีอารมณ์ จนคนดูเงียบและเวทีเงียบกริบ นั่นแหละชิ้งถึงอ่านออกเสียงตามบทที่เตรียมมา”

เป็นที่รักของครู แต่เป็นตรงกันข้ามกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ชิ้งบอกว่า แท้ที่จริงเธอแทบไม่มีเพื่อนผู้หญิงเลย เมื่ออยู่กับเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วทำตัวไม่ถูก ระวังตัวมากแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ลึกๆ เธอไม่อยากเป็นหญิง ไม่มีเหตุผล แค่ไม่ชอบความเป็นผู้หญิง พูดแบบนี้เหมือนคอนทราสต์กับลุคหรือบุคลิกมาก แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตวัยรุ่นเป็นชิ้งที่ไม่มีความสุข เป็นชิ้งที่เศร้า อยู่คนเดียวในห้อง ไม่มีเพื่อน เพราะเข้ากับคนไม่เป็น

 

“เคยมีรุ่นพี่โทรมาบอกว่าจะตบ ก็เพราะเราวางตัวไม่เป็น พูดไม่เป็น ทำอะไรหรือพูดอะไรคือผิดหมด เมื่อใครไม่เข้าใจ ชิ้งจะไม่อธิบาย เป็นช่วงที่มีคนเกลียดมาก”

ตอนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 มีเพื่อนมาแอบถ่ายรูปของเธอไปฟ้องอาจารย์ เป็นรูปตอนที่เธอเดินกลับบ้านกับผู้ชาย ซึ่งก็เป็นแค่เพื่อนกัน คุณครูเรียกไปคุย แต่เพราะเธอเป็นคนปิดกั้นและไม่อธิบาย เรื่องจึงบานปลายไปมาก เซนต์จอห์น ฝ่ายสตรี ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีล้วนยึดถือเรื่องนี้และสมัยก่อนก็รับได้ยาก รูปถ่ายประจานกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ชิ้งกลัวเพื่อนผู้หญิง เธอแทบไม่คบเพื่อนเลย ที่สำคัญคือคุณครูซึ่งเคยให้ความรักเอ็นดูก็เปลี่ยนท่าทีไป ชิ้งเหมือนตกนรก การไปโรงเรียนคือความอดทน อดทนไปทีละวันๆ จนกว่าจะจบ

สอบเทียบเข้าเอแบค เรียนด้านไฟแนนซ์ เธอพบ “แฟน” ที่งานฟุตบอลประเพณี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งคบหากันระยะหนึ่งจึงรู้ความจริงว่าฐานะทางบ้านของเขาร่ำรวยมาก วันหนึ่งขับเฟอร์รารีมารับเธอที่เอแบคจนลือลั่นไปทั้งมหาวิทยาลัย ลึกๆ ชิ้งรู้ว่าเธอไม่เหมาะสมกับเขา หากความรักที่ต่างคนต่างรักกันมาก คบหากันถึง 7 ปี แม้สองในสามจะเป็นระยะเวลาแห่งความเจ็บช้ำ

 

“มีคนมาจีบชิ้งเยอะ แต่มีคนหนึ่งที่ชิ้งเผลอใจไป แล้วเขาจับได้ ตอนนั้นคบกัน 2 ปีแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายมากเพราะต่างคนต่างทิฐิ เขาอยากเลิกแต่เขาไม่เลิก นั่นก็เพราะเขารักชิ้งมาก ขณะเดียวกันเขาก็ให้อภัยชิ้งไม่ได้”

ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรือมีอะไรที่ไม่เหมาะควร แต่เพราะโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักให้โทษทั้งเขาและเธอ คบกันเจ็ดปีหากความทุกข์กัดกร่อนจนเกือบเสียสิ้นวิญญาณ ชิ้งกลายเป็นโรคซึมเศร้า ไม่กินไม่นอน ไม่พบปะผู้คน แปลกแยกโดดเดี่ยว น้ำหนัก 49 กิโลกรัม เมื่ออกหักก็ผ่ายผอมจนจำตัวเองเกือบไม่ได้ สุดท้ายเหลือแค่ 41 กิโลกรัม เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ไม่ทำอะไร ตื่นและใช้ชีวิตในชุดนอน มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ ถือไว้ตลอดเวลาแบบไม่วางเลย คอยโทรคอยตามเขา พยายามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน ส่วนเขาเมื่อรู้ว่าเธอตามก็จะหนี ชีวิตเหมือนเกมไล่จับ

“เขาจะหนี เขาชอบหนี เขารู้ว่าชิ้งจะเป็นทุกข์ หัวใจจะเต้นระรัวเหมือนร้อนผ่าวๆ ชิ้งเคยนอนร้องไห้หลับไปทั้งน้ำตาแบบมีโทรศัพท์คาอยู่ในมือ ตื่นขึ้นมายังจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่เลย ถามตัวเองว่าชีวิตต้องเจอขนาดนี้เลยเหรอ เคยขับรถไล่ตามกัน เขานัดชิ้งมาคุย ชิ้งไม่รู้ทางแล้วเขาก็ขับหนี เหมือนพูดกันไม่รู้เรื่องก็ไปล่ะ ชิ้งรู้ว่าเขาหนีนะ ชิ้งไม่ต้องตามเขาก็ได้ แต่ชิ้งต้องตามให้ได้เพราะชิ้งไม่รู้จะกลับออกไปจากที่ตรงนี้ได้ยังไง ถ้าปล่อยให้เขาไป ชิ้งจะหาทางกลับออกมายังไง เป็นซิมโบลิกมาก”

 

ชิ้งคร่ำครวญในใจ ชีวิตเราก็ขนาดนี้แล้วช่วยทำดีกับเราหน่อยได้มั้ย เขาหนีเขาเที่ยว หรือเขาจะมีผู้หญิงอื่น จิตใจคิดไปสารพัด ใจจะเต้นพลั่กๆๆๆ เหมือนน้ำเวลามันเดือดปุดๆ ร้อนรนไร้ความสุข ทะเลาะกันแล้วร้องไห้ ทำไมถึงทำแบบนี้ เขาใช้วิธีหนีอย่างเดียว ชิ้งช้ำมาก เวลาไปสอบทำข้อสอบไปร้องไห้ไป จนอาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบจะทราบว่าเป็นกระดาษคำตอบของกนกวรรณ เพราะเปียกไปด้วยน้ำตา

เรื่องของชิ้งไม่ควรจะเศร้าโศกไปมากกว่านี้ ไคลแมกซ์คือจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือความรักเมื่อได้พบกับสามีคนปัจจุบัน “คมสันต์ อัศวานุชิต” ซีอีโอ บริษัท คอนเซปท์ เพลยส์ มาร์เก็ตติ้ง โซลูชั่น ขณะที่คาราคาซังกับแฟนคนแรก เพื่อนพาเธอไปเที่ยวอาร์ซีเอ ในคืนนั้นชิ้งเดินชนกับสามีในอนาคต เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเขารู้จักกับเพื่อนของเธอ และเธอก็ตัดสินใจให้เบอร์เขาไป เมื่อเห็นว่าเป็นเขานี่เองที่เดินตามเธอมาทั้งคืน

โทรศัพท์คุยกันไม่กี่ครั้ง จึงได้รู้ว่า เธอและเขาเป็นเพื่อนร่วมเรียนชั้นอนุบาลด้วยกัน ในความคิดของสามี เขามองเรื่องนี้ว่าเป็นบุพเพสันนิวาส ส่วนชิ้งจำเขาได้แล้ว เขาก็คือเด็กผู้ชายคนนั้น ที่หน้าเหมือนจิ้งจก วันๆ เอาแต่คุยโม้ ครั้งหนึ่งไปจับแมงด้วงเอามาฝากบอกรักเธอ ไม่เกินหนึ่งเดือนที่คบหากันเขาก็ขอเธอแต่งงาน ชีวิตเหมือนนิยายไหม ในบางมุมก็ไม่ แต่ในบางมุมก็ใช่ ชิ้งตอบรับ เธอแต่งงานกับเขาอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันถึงปัจจุบัน 10 ปีเต็ม

 

“เขาฉลาดค่ะ เขารู้ชีวิตของชิ้ง เขารู้ว่าชิ้งโหยหา เมื่อเขาขอแต่งงานเขาพาชิ้งไปบ้านเขาเลย เปิดประตูเข้าไป เจอแม่เจออาม่า เจอครอบครัวที่เต็มไปด้วยพี่น้องผู้คนมากมาย เขารู้ว่าชิ้งต้องการสิ่งนี้ ชิ้งต้องการครอบครัว”

ชิ้งบอกว่าเธอเป็นคริสเตียน ทุกอย่างในชีวิตสอนเรา แม้กระทั่งความรักครั้งแรกก็ไม่ใช่ใครที่ผิดคนเดียว ทุกวันนี้เธอมองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสในการทำเพื่อผู้อื่น มองบียอนด์ไปกว่าตัวเอง เลือกที่จะโฟกัสและทำเพื่อคนอื่นอย่างจริงใจ ปัญหาทุกปัญหาและคนทุกคนที่เข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะสามีคนปัจจุบัน ขอบคุณพระเจ้าที่นำพาพวกเขามา

 

Leave a comment