ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
07 กันยายน 2559 เวลา 07:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/452891

โดย…ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
แม้ว่ากรมควบคุมโรคจะยืนยันว่า ไวรัสซิกาในประเทศไทยยังไม่มีการระบาดหนัก แต่ตัวเลขที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นประปรายในบางจังหวัด รวมถึงสถานการณ์ประเทศในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ ที่มีผู้ป่วยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คำถามก็คือว่าประเทศไทยควรเตรียมรับมือกับโรคนี้อย่างไรให้ “ปลอดภัย” กับประชาชนทุกคน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเสวนา “ซิกา ไวรัสร้าย ภัยเงียบต่อคุณแม่ตั้งครรภ์” โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ข้อมูลพื้นฐาน และข้อเสนอแนะต่อการจัดการของกระทรวงสาธารณสุข
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ไวรัสซิกามีคุณสมบัติคล้ายกับไวรัสอื่นที่มาจากยุง รวมถึงเหมือนไข้เลือดออกตรงที่มีเลือดออก มีอาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ รวมถึงมีบางรายที่มีอาการทางสมอง
“ไวรัสซิกาจะอาศัยระบบภูมิคุ้มกันในผิวหนัง-ในเลือด เสริมพลังให้ตัวเอง ทำให้ผิวหนังบวม ก่อนจะเรียกภูมิคุ้มกันในหลอดเลือดวิ่งเข้ามา แล้วเปลี่ยนภูมิคุ้มกันของเราให้เป็นพวกของไวรัส แล้วล่องลอยเข้าไปหาอวัยวะต่างๆ” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เล่าให้ฟัง
ทั้งนี้ ไวรัสซิกาจะชอบเด็กในท้อง และเมื่อติดเชื้อเด็กในท้อง จะสามารถติดได้ทุกอายุครรภ์ ถึงเด็กที่คลอดออกมา หัวจะไม่ลีบในทันที แต่ก็มีโอกาสที่จะแสดงอาการหลังจากนั้นอีกหลายปี ส่วนผู้ใหญ่แม้จะมีอาการน้อย แต่ถ้ามีก็รุนแรง
“ไวรัสซิกามันฉลาดตรงที่สามารถตรงเข้ารกได้ ทั้งที่บริเวณดังกล่าวจะมีเซลล์คอยป้องกันเชื้อโรค แต่ไวรัสชนิดนี้สามารถผ่านเซลล์ที่อยู่ในรกที่จะเข้าตัวเด็กได้ รกเป็นบ้านของมัน ปล่อยเชื้อให้เด็ก แล้วเอาหัวเด็กเป็นบ้านมัน ฝังตัวอยู่ในนั้น หัวเด็กจะลีบ มีช่องตรงสมองมหาศาล”
ทั้งนี้ อยากเสนอไปยัง สวทช.ให้รีบออกโลชั่นฉีดยุงที่สามารถป้องกันยุงได้ และต้องไม่อันตรายต่อเด็ก ส่วนอาการของผู้ที่ติดเชื้อนั้น เห็นชัดแล้วว่าในเด็กสามารถแสดงออกในช่วงอายุใดก็ได้ จึงยากมากที่จะบอกว่าเด็กได้รับเชื้อแล้วปลอดภัยหรือไม่ หรือมีใครติดเชื้อหรือไม่ เพราะฉะนั้นนโยบายรัฐควรทำเสมือนว่ามีการระบาดทั่วประเทศแล้ว และคุมเข้มทั่วประเทศ เพื่อเฝ้าระวังขั้นสูงสุด
ขณะที่ นพ.ยงเจือ เหล่าศิริถาวร จากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันสามารถรวบรวมตัวเลขผู้ป่วยไข้ซิกาได้ยากมาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ และในคนที่มีอาการก็จะมีอาการน้อย ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะไปรักษาในคลินิกเอกชนมากกว่าโรงพยาบาลรัฐ หรือบางคนที่อาการไม่รุนแรง อาจจะไม่ไปพบแพทย์ด้วยซ้ำ จึงทำให้หลุดตัวเลขของคนป่วยเหล่านี้ไป
ส่วนในแง่การควบคุมการแพร่ระบาดนั้น ไข้ซิกาใช้วิธีการควบคุมป้องกันโรคไม่ต่างจากไข้เลือดออกมาก คือการควบคุมยุง ป้องกันไม่ให้ยุงกัด นอกจากนี้ ไข้เลือดออกยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม อยากเปรียบเทียบให้เห็นว่าในไข้เลือดออกนั้น หากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส ยังมีโอกาสรักษา ควบคุมเชื้อ ไม่ให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิต แต่สำหรับไข้ซิกาไม่มีโอกาสที่สอง เพราะเมื่อมีการติดเชื้อแล้วจะไม่สามารถแก้ให้เด็กหาย “หัวฟีบ” หรือทำให้เด็กเป็นปกติได้
“ต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าการควบคุมยุงเป็นเรื่องยาก เพราะบ้านทุกคนมียุง การจะให้บุคลากรสาธารณสุขไปควบคุมทุกบ้านนั้นทำไม่ได้แน่นอน จึงต้องอาศัยการควบคุมอย่างเข้มแข็ง ฉะนั้น ทุกครัวเรือนอาจต้องดูแลลูกน้ำยุงลาย หรือกำจัดสัปดาห์ละครั้ง เพื่อกันลูกน้ำในบ้านให้หมด หรือถ้ารู้สึกว่ายุงเยอะก็ฉีดยุงทันทีเลย เพื่อให้ปลอดภัยทั้งไข้เลือดออก ทั้งซิกา” นพ.ยงเจือ ระบุ
ด้าน ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ประธานคลัสเตอร์สุขภาพและการแพทย์ สวทช. กล่าวว่า จากข้อมูลทั้งหมดอาจสรุปได้ว่า หากมีความเสี่ยงต่อการระบาดมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง การให้ “ชะลอการตั้งครรภ์” อาจเป็นทางเลือก แต่ปัจจุบันการระบาดในประเทศไทยอาจยังไม่ถึงจุดนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่แล้ว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ควรจะถูกยุงกัด ส่วนผู้ที่ประสงค์จะมีบุตร หากควบคุมไม่ให้ยุงกัดไม่ได้ ก็ยังไม่ควรตั้งครรภ์
สำหรับประเทศไทยมีไวรัสซิกาอยู่นานแล้ว แต่ไม่มีการระบาด ซึ่งต่างจากบราซิลหรือประเทศอื่นที่มีการระบาดอย่างกว้างขวาง ขณะนี้เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเวลามันไม่ระบาด เราก็มี 2 ทางเลือก คือ เป็นอย่างนี้ต่อไป หรือเกิดการระบาดใหญ่ขึ้น แต่แนวโน้มขณะนี้คิดว่าน่าจะยังไม่ระบาด