ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
16 พฤศจิกายน 2559 เวลา 19:45 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/465709

โดย…สริตา นาคใจเสือ/ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญหลายประการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นจากผลพวงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดมาจากภายนอกอย่างภูมิศาสตร์ทางการเมืองโลกที่กำลังเกิดการขยับครั้งรุนแรง โดยเฉพาะการห้ำหั่นในเวทีการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
สถานการณ์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยควรจะต้องปรับตัวให้ทันกับคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ซึ่ง ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทย ได้ให้มุมมองกับโพสต์ทูเดย์ไว้อย่างน่าสนใจ
ปานปรีย์ เริ่มว่า ปัญหาของประเทศในตอนนี้ คือ เรื่องความขัดแย้งและเศรษฐกิจ วันนี้เรากำลังจะก้าวไปสู่ดิจิทัลอีโคโนมีซึ่งก็เห็นด้วย เพราะมันเป็นกระแสโลกแล้ว แต่เรามาเริ่มต้นในช่วงที่เศรษฐกิจของเราไม่ค่อยแข็งแรงนัก ไม่ค่อยดี ยังไม่ฟื้นตัวทีเดียว ฉะนั้นการที่เราจะปรับโครงสร้างในเรื่องของการผลิตมันก็เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนต้องลงทุนเพิ่ม ฉะนั้นตรงนี้เรากำลังจะบอกว่าจะปรับปรุงโครงสร้างการผลิตใหม่
“ถามว่าเราจะปล่อยให้เอกชนทำเองหรือทางภาครัฐจะเข้าไปให้ความสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าบทบาทของภาครัฐ โดยเฉพาะคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ต้องเพิ่ม จากเดิมเราเคยให้สิทธิประโยชน์ในรูปแบบของภาษีเป็นหลัก วันนี้อาจจะต้องปรับรูปแบบใหม่ให้มันสอดคล้องกับนโยบายในเรื่องของ 4.0 หรือให้สอดคล้องกับดิจิทัลอีโคโนมี เพื่อที่จะผลักดันทั้งสองอย่างนี้ให้มันเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม
“เวลานี้มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะตัวเลขมันเป็นตัวชี้ชัดเจนว่าความยากจนมันยังอยู่ ความเหลื่อมล้ำยังอยู่ การกระจายรายได้มันยังไม่ดีเท่าที่ควร แล้วทำไมภาคเกษตรเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรมรายได้ไม่สามารถเทียบกับภาคอุตสาหกรรมได้เลย อันนี้ก็เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องที่จะดึงคนชั้นล่างขึ้นมาให้มากกว่าเดิม คือคนชั้นล่างนี้อยู่นิ่งข้างล่างเลย
“แล้วถ้าเกิดเศรษฐกิจเราโตเนี่ยมันก็ยิ่งทำให้ข้างบนยิ่งห่างจากข้างล่าง เพราะข้างล่างอยู่นิ่งแต่ข้างบนโตไปเรื่อยๆ รายได้ของคนรวยกับคนจนก็ยิ่งห่างกันซึ่งจะเกิดเป็นปัญหา ซึ่งจะเป็นปัญหาของชาติที่ทุกคนพูดถึง แต่ยังไม่มีวิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง”ปานปรีย์ กล่าว

เวลานี้มีคำถามเกิดขึ้นเยอะว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดีเพราะเศรษฐกิจโลกหรือเพราะเศรษฐกิจไทยเอง?
ปานปรีย์ ตอบว่า “คือแบบนี้เศรษฐกิจโลกมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เราก็ต้องยอมรับว่าเราก็มีปัญหาของเราเองเยอะ เราก็พูดกันทุกคนก็ให้สัมภาษณ์ทางเดียวกันหมดว่าเราติดกับดัก เราติดกับดักเพราะอะไร เพราะว่าการศึกษาเรามันยังไม่ได้มาตรฐาน ยังไม่มีคุณภาพดีเท่าที่ควร เราติดกับดักเพราะ Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐาน) ของเรายังไม่ครบถ้วน เราติดกับดักเพราะเราไม่มี Innovation (นวัตกรรม) เราไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ
“ถามว่าปัญหาเหล่านี้มันต้องแก้ไขอย่างไรดี อย่างเช่นนวัตกรรม การที่จะเกิดนวัตกรรมได้ มันจะต้องเกิดจากคนที่มีมันสมองมีปัญญามีความคิด แล้วความคิดมันจะเกิดจากอะไร มันก็เกิดจากภูมิความรู้ เกิดจากการศึกษา เกิดจากความรู้ข้างนอกมาสู่เขา มันก็คือการศึกษาอีกเหมือนกัน
“เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาล ไม่ใช่แค่เฉพาะรัฐบาลของท่านประยุทธ์อย่างเดียว ที่จริงเราก็คาดหวังกับรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำ เพราะว่าท่านมีอำนาจเต็ม ในการที่จะให้ทุกฝ่ายนัดมาคุยกัน แล้วก็ให้มันจบ เพื่อที่จะวางแนวทางให้ประเทศชาติมันเดินต่อไปข้างหน้าได้ ตราบใดที่มันยังมีความขัดแย้ง คุณจะมีนโยบายดียังไงก็ตามก็ลำบาก แล้วยิ่งรัฐธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า คนนู้นคนนี้ร้องได้ เดี๋ยวก็ร้ององค์กรอิสระนู้นองค์กรอิสระนี้ ถ้ารัฐบาลไม่ได้รับความไว้วางใจ มันจะทำงานต่อไปได้ยังไง ถูกไหม ประชาชนมันก็จะแตกเป็นสองฝ่าย
“สายหนึ่งที่เชื่อรัฐบาลกับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่เชื่อรัฐบาล มันก็จะยุ่ง ถ้าในวันนี้ไม่มีใครเชื่อรัฐบาล แล้วรัฐบาลจะทำยังไง วันวานคุณก็ขึ้นศาล เมื่อม็อบมาร้องคุณก็ไปชี้แจง ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทำงานกันสักที แล้วก็ไม่กล้าที่จะเสนอนโยบาย”
ที่สุดแล้วในมุมมองของอดีตผู้แทนการค้าไทยก็ยังเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาประเทศคงต้องทำด้วยการปฏิรูป แต่ต้องทำเป็นระบบ
“ปฏิรูปประเทศมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว มันก็มี 3 ส่วน การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ก็ต้องปฏิรูปไปด้วยกัน แต่ในความเห็นของผมคือการปฏิรูปเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาใช้พลังเยอะในการที่จะปฏิรูป สิ่งที่ผมคิดถ้าจะปฏิรูปมันต้องดูเป็นเรื่องๆ แล้วต้องจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรเป็นเรื่องที่ด่วนที่สุดของประเทศ ผมมองเรื่องความขัดแย้ง ถ้าเราไม่ทำตรงนี้มันเดินต่อยาก มันจะเดินเอียง นอกจากนี้ในเรื่องเศรษฐกิจในเรื่องของการทำยังไงที่เราจะพาไปสู่ประเทศที่พัฒนาได้ ไม่ใช่สนใจแต่จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) แล้วมันไปรวมกระจุกตัวอยู่ข้างบน
“อีกเรื่องคือความเป็นธรรมของสังคม ทุกคนก็ต้องการความเป็นธรรม ถ้าเราไม่สามารถชี้ให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่มีความเป็นธรรมมันก็จะเกิดความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นต้องแก้ให้ได้ ต้องทำให้คนทั่วโลกอิจฉา เพราะเรามีครบทุกอย่าง ปัญหาของเราก็คือคน กายภาพของเราไม่เป็นรองใครเลยนะ เรามีทุกอย่างที่มันดี แต่เราทะเลาะกัน เราขัดแย้งกัน เราไม่ยอมกัน มันต้องเลิกแล้วและตั้งเป้าหมายเพื่อประเทศชาติ เพื่ออนาคตของลูกหลานของคนรุ่นใหม่ อย่าให้คนรุ่นใหม่ต้องมารับกรรมในสิ่งที่เราทำ ก็สร้างสิ่งที่ดีแล้วก็วางโครงสร้างที่แข็งแรงที่จะไปต่อยอดได้” ปานปรีย์ สรุป

ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง “จีน-อเมริกา”
นอกเหนือไปจากปัญหาภายในประเทศที่หนักไม่แพ้กันแล้ว ประเทศไทยกำลังอยู่ตรงกลางของสมรภูมิที่ว่าด้วยการเมืองระหว่างประเทศด้วย ดังจะเห็นได้จากการพยายามเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียของสหรัฐ ในประเด็นนี้ ปานปรีย์เสนอว่าประเทศไทยต้องหาดุลยภาพในเวทีการเมืองระหว่างประเทศให้ดี เพื่อ ไม่ให้ประเทศไทยเสียประโยชน์
“อเมริกาพยายามจะรักษาอำนาจของตัวเองไว้ ในขณะที่จีนกำลังโตขึ้นมามาก รัสเซียก็โต อินเดียก็โต แล้วก็ต่างแสดงแสนยานุภาพของตัวเอง ประเทศอย่างเราก็งงว่า เราจะทำยังไงให้เกิดดุลยภาพ เพราะเราเป็นประเทศที่ชอบเป็นกลาง เราไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชัดเจน ในอดีตที่ผ่านมาได้ก็เพราะเรารักษาความเป็นกลางมาตลอด ฉะนั้นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ทั้งฝ่ายความมั่นคง ทางฝ่ายการต่างประเทศ ต้องดูกันให้รอบคอบ
“เราต้อง Identify (พิสูจน์) ให้ได้ ว่าวันนี้จีนคืออะไร วันนี้สหรัฐคืออะไร รัสเซียคืออะไร อินเดียคืออะไร แต่ในอดีตเราไม่เคยที่จะแสดงตัวชัดเจน แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าเราเลือกข้างสหรัฐ แล้วสหรัฐก็ชนะสงครามโลก เราก็เลือกข้างถูก ประเทศเราพัฒนากว่าประเทศอื่นก็เพราะเราเลือกข้างถูกแล้วก็ในวันที่เรามองเห็นว่าจีนเขาเริ่มโตขึ้นมาแล้ว อันนี้ก็เป็นการทูตชั้นยอดของประเทศไทย เราก็เริ่มไปแตะมือจีน เราเริ่มเปิดความสัมพันธ์กับประเทศจีนก่อนสหรัฐที่จะเปิดความสัมพันธ์ก่อนด้วยซ้ำ
“เพราะฉะนั้น ณ วันนั้นผู้นำของเรามองเห็นสมัยอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านชาติชาย เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ในช่วงนั้นเราเริ่มมองเห็นแล้วว่าประเทศที่กำลังจะขึ้นมาแข่งกับสหรัฐคือประเทศอะไร ในขณะที่ประชาชนยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นเลย อาจจะมีบางบริษัทที่เขาเริ่มเห็น ซึ่งเขาก็เป็นบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ แล้วเขามองเห็นก็ไปแตะจีนไว้ก่อน แล้วอยู่ดีๆ จีนก็พรวดพราดมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขึ้นมาเลยภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
“เวลานี้มันต้องมียุทธศาสตร์ มันต้อง Identify ได้ว่าต่อไปโลกมันจะเปลี่ยน แปลงยังไง โครงสร้างของอำนาจภูมิรัฐศาสตร์ ถ้าเรา Identify ไม่ได้มันก็อยู่อย่างนี้แหละ ก็ง่อกแง่กไป มองกันไปมองกันมาแต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากใครเลย
“ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อมูลว่ามีมากพอที่จะตัดสินใจหรือไม่ โลกปัจจุบันมันไม่ใช่โลกที่ต้องอยู่นิ่ง เหมือนกับเราต้องใส่เสื้อสีน้ำเงิน เราก็ต้องใส่เสื้อสีน้ำเงินต่อไป แต่ไม่ใช่วันดีคืนดีเราอาจจะต้องใส่เสื้อสีแดงหรืออาจจะต้องใส่เสื้อสีเหลืองหรือสีเขียว เราก็ต้องปรับตัวให้ได้ มันเป็นโลกที่เราจะต้องมีความพร้อมในการปรับตัว คือความยืดหยุ่น เราอาจจะบอกว่า เฮ้ย!!! เราต้องอยู่กับระบบนี้ เราต้องอยู่กับระบบทุนนิยมอย่างเดียว เราจะต้องอยู่กับระบบคอมมิวนิสต์อย่างเดียว เราจะอยู่กับอะไรอย่างเดียวไม่ได้ ส่วนดีของมันมีหมด มันก็ต้องเลือกเอามาใช้เป็นส่วนๆ เลือกให้เหมาะกับสถานการณ์” ปานปรีย์ ทิ้งท้าย