สุวิทย์ เมษินทรีย์ กุนซือ “ไทยแลนด์ 4.0”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/479877

สุวิทย์ เมษินทรีย์ กุนซือ "ไทยแลนด์ 4.0"

โดย….อนัญญา มูลเพ็ญ

หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา “ครม.ประยุทธ์ 4” หลายตำแหน่งมีภาระหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับ  “สุวิทย์ เมษินทรีย์”  ที่ปรับจาก รมช.พาณิชย์ มานั่งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับความไว้ใจให้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ที่สำคัญ พ่วงด้วยหน้าที่ล่าสุดที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างมาก คือ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)

เข้าสู่ยุค 2 บีโอไอ

“สุวิทย์” ฉายภาพถึงการจะขับเคลื่อนองค์กรที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบว่า เริ่มจากบีโอไอที่ต้องปรับบทบาทใหม่ ไทยจะต้องขยับตัวเองไปสู่การผลิตสินค้ามูลค่าสูง แต่จะทำได้ก็ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานระดับเวิลด์คลาส มีคนที่ดีพอ เครื่องมือ บรรยากาศ จากที่ผ่านมาไทยเน้นนโยบายที่เหมือนปักชำ อยากได้อะไรเราก็ให้สิทธิ ประโยชน์จูงใจคือสิทธิประโยชน์ภาษี แต่ไม่ได้ทำอีก
ขาหนึ่ง คือ สร้างคนขึ้นมารับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา

การจะเปลี่ยนจากนโยบายแบบปักชำมาเป็นรากแก้วนั้น ก็คือ ไทยแลนด์ 4.0 ต้องมาดูรายละเอียดว่าถ้ามองในมุมของเทคโนโลยีที่เราอยากจะยืนอยู่บนขาของตัวเองมีอุตสาหกรรมอะไรบ้าง ซึ่งก็คัดเลือกออกมาได้เป็น 5  อุตสาหกรรม เช่น ไบโอเทค ไบโอเมด ดิจิทัล แมกคาทรอนิกส์ นี่คือที่มาที่ให้บีโอไอต้องปรับตัวจากที่เคยโฟกัสอุตสาหกรรม มาเป็นการโฟกัสที่ความสามารถ การดึงดูดการลงทุนจะต้องเปลี่ยนไปสู่การดึงศักยภาพ ขีดความสามารถเข้ามา ดึงคน โครงสร้างพื้นฐาน บริษัทที่ดีที่สุดในโลก ที่จะตอบโจทย์ประเทศ

ดังนั้น บีโอไอในยุคที่ 2 นี้จะต้องดึงแต่ละส่วนที่แบ่งเป็น 4-5 แฉก คือ หนึ่งดึงคน สองเทคโนโลยี สามคนที่จะมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเซ็กเตอร์และวิสาหกิจที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้ตอนนี้การดึงดูดการลงทุนต้องเลือกเป็นรายบริษัทเลย และทั้งหมดนี้จะประกาศตัวออกไปในงาน โอพอร์ทูนิตี้ ไทยแลนด์ ที่บีโอไอจะเชิญนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติมารับฟังในช่วงกลางเดือน ก.พ.

ปรับเครื่องมือจูงใจลงทุน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ตอบโจทย์การดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น “สุวิทย์” ระบุว่าตอนนี้บีโอไอมีแต่สิทธิพิเศษทางภาษีนิติบุคคลซึ่งไม่เพียงพอ จะต้องปรับปรุงไปสู่การให้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจึงจะสามารถดึงคนเก่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ แต่เครื่องมือที่สำคัญอีกประการ คือ การอำนวยความสะดวกและมาตรการต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษี หรือ นัน แท็กซ์ อินเทนซีฟ (Non Tax Intensive) เพื่อให้เขารู้สึกว่าไทยเป็นบ้านที่สองของเขา พาครอบครัวมาแล้วมีโรงเรียนอินเตอร์ มีทุกอย่าง ไม่ต้องคิดมากมาเมืองไทยเหมือนอยู่บ้านเดิม ซึ่งในส่วนนี้มีเรื่องต้องแก้อีกมาก เช่น เรื่องที่คนต่างด้าวต้องรายงานตัวหากอยู่เกิน 90 วัน ซึ่งเกี่ยวกับการแก้ไขตรงนี้ นายกฯ สั่งให้เคลียร์ 4-5 เรื่อง

สิ่งที่ทำตอนนี้ คือ ปรับนโยบายการลงทุนมาเน้นดึงดูดคนที่มีศักยภาพ เพราะพวกนี้ คือ สตาร์ทอัพ นักวิจัย พวกนี้แหละคือตัวทำเงินให้เราในอนาคต ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีตอนนี้ระบบการวิจัยเรายังไปไม่ได้ เพราะว่าคนแจกโจทย์ก็ไม่ชัดและเป็นเบี้ยหัวแตก แจกวิจัยไปแล้วไม่มีการติดตาม ซึ่งบีโอไอจะเข้ามาช่วยด้วยว่าจะให้สิทธิประโยชน์อย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์เรื่องการวิจัยด้วยอินเซนทีฟ ที่ตอบโจทย์การวิจัยได้อย่างไร

สศช.องค์กรแผนอนาคต

“สุวิทย์” กล่าวถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องคิด โดยตนพยายามเสนอในไทยแลนด์ 4.0 ว่าเบรนพาวเวอร์ คือ แรงงานระดับบนอะไรที่มีศักยภาพสูง กับแมนพาวเวอร์ คือ กลุ่มที่ใช้แรงงานต้องแยกออกจากกัน แล้วเอานโยบายมานั่งคุยกัน ถ้าตรงไหนต้องเคลียร์ก็ต้องเคลียร์ ตนเลยใช้บีโอไอเป็นตัวขยับซึ่งทำให้รู้ด้วยว่าถ้าจะลงทุนตรงนี้ติดอะไรจะเคลียร์ตรงไหน

ในส่วนของ สศช.หรือสภาพัฒน์นั้น ก็มีส่วนที่ต้องปรับอีกเยอะ ส่วนที่คิดกันอยู่และตนจะเสนอนายก รัฐมนตรีเร็วๆ นี้ 4 เรื่อง คือ 1.การที่ประเทศจะต้องมีแล็บทดลองเกี่ยวกับอนาคต (Future Lab) คือต้องสร้างแล็บให้ประเทศเป็นส่วนที่จะเข้ามาดูว่าอนาคตจะมีโอกาสเกิดอะไรขึ้นบ้าง 2.แล็บทดลองเกี่ยวกับนโยบาย (Policy Lab) คือเมื่ออนาคตเป็นแบบนี้จะต้องมีนโยบายแบบไหนในยุทธศาสตร์ 3.ส่วนที่เรียกว่าซิสเต็ม อินเตเกรชั่น (System Integration) เมื่อนโยบายที่ทดลองได้สุกงอมแล้วก็แจกจ่ายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการ และ 4.เมื่อกระทรวงทำงานแล้วก็มีหน่วยงานติดตาม ซึ่งส่วนนี้มีกลไกเกิดขึ้นแล้ว คือ สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) แต่อีก 3 ส่วนไม่มีซึ่งอาจจะเป็นสภาพัฒน์ที่เข้ามาดูส่วนใดส่วนหนึ่งในอนาคต

จากปฏิรูปศึกษาสู่งานยุทธศาสตร์

“สุวิทย์” เท้าความถึงช่วงเวลาก่อนจะได้รับมอบหมายดูแลงานสำ คัญนี้ว่า “ต้องย้อนไป 2-3 ปีที่แล้วถึงความตั้งใจที่ต้องการเข้ามาทำ เรื่องปฏิรูปการศึกษา เพราะมองว่าเป็นหัวใจการปฏิรูปประเทศไทย จึงสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านปฏิรูปการศึกษา ซึ่ง เทียนฉายกีรนันท์ ประธาน สปช. ตั้งผมเป็นประธานกรรมาธิการวิสัยทัศน์และกำ หนดอนาคตประเทศไทย จึงมีโอกาสฉายภาพใหญ่ไม่เฉพาะการศึกษา แต่มองว่าอนาคตประเทศไทย 10-20 ปี อยากให้เป็นอย่างไร ที่สุดผมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของคณะเตรียมการเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ชุดของ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ในช่วงที่อยู่กระทรวงพาณิชย์นั้น การส่งออกตกหนักมาก แต่มันก็ทำ ให้เรามองเห็นว่าประเทศไทยไม่ปรับโครงสร้างการส่งออกและการผลิตไม่ได้แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของไทยแลนด์ 4.0 ที่นายกรัฐมนตรีจุดประกายมา และผมก็มีโอกาสทำงานไทยแลนด์ 4.0 มาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น พอเปลี่ยนมาเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ยังให้ดูสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และมองว่าประเทศไทยจะไปนวัตกรรมไม่ดูวิจัยไม่ได้ จึงให้ดูสำ นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขณะเดียวกันเศรษฐกิจท้องถิ่นก็สำ คัญจึงมอบหมายให้ดูแลกองทุนหมู่บ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มองว่าถึงเวลาที่จะนำ เรื่องใหญ่ๆ มาถักทอกัน จากตอนแรกที่เข้ามามุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ไอเคโอ (ICAO) ไอยูยู (IUU)เศรษฐกิจโลกผันผวนก็ใช้เวลายื้อมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้น่าจะดีขึ้นควรจะมองไปข้างหน้า นำ เป้าหมายที่แท้จริงออกมาทำ คือ ปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติจะต้องขึ้นรูปให้รัฐบาลใหม่ทำ ต่อ แต่่เงื่อนไข คือ ทำ ไม่ได้ถ้าบรรยากาศไม่เอื้อให้ปรองดองและสามัคคี ดังนั้นปรองดองสามัคคีจึงเป็นจิ๊กซอว์ตัวที่ 3 ซึ่งนี่เป็นที่มาของ ป.ย.ป. แต่ผมก็ได้ดูแลในฐานะฝ่ายเลขาฯ หลายคนสงสัยว่าทำ ไม ผมไม่รู้หรอก แต่เท่าที่รู้ คือ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากโอกาสที่ได้ทำงานผ่านไทยแลนด์ 4.0 เคยเป็น สปช. ดังนั้นงานของ ป.ย.ป. ก็เหมือนงานที่เคยสัมผัสอยู่

ขณะที่ ป.ย.ป. คือ กลไกที่จะส่งออกไปยังรัฐบาลถัดไป ถ้าคนในประเทศมียุทธศาสตร์ชาติร่วมกันรัฐบาลเปลี่ยนยุทธศาสตร์จะไม่เปลี่ยนและเมื่อถึงจุดที่ประชาชนเห็นว่านี่ คือสิ่งที่ดีกว่าที่เคยเป็น ไม่ต้องไปประชานิยมเขามาก เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยน ตรงนี้เองที่เราบอกว่าถ้าเราทำสิ่งที่ถูกความปรองดองมากขึ้น ปฏิรูปเกิดผลชัดเจน ต่อตนเอง ลูกหลาน เขา ก็อยากจะปฏิรูปต่อ อย่าไปกลัวว่ารัฐบาลใหม่มาแล้วนโยบายจะเปลี่ยน แต่อยู่ที่ว่าสิ่งที่ทำนี้ เขาเห็นไหมและรู้สึกไหมว่ามันดีกว่า ปลดล็อกตรงนี้ได้ประชาชนไม่สนหรอกว่าพรรคจะทะเลาะอะไรกัน แต่ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้ทำให้ประชาชนเท่าที่ควร พรรคเลยอ้างว่าอย่างโน้นอย่างนี้

ถามว่าเงื่อนไขความปรองดองไม่ได้อยู่ที่ความปรองดอง แต่เมื่อมันเกิดเป็นข้อตกลงร่วมกันแล้ว มันจะนำ ไปสู่เป้าหมายร่วมที่ทุกคนอยากมองยุทธศาสตร์ชาติร่วมกัน”

 

Leave a comment