“หมดเวลากลัวตำรวจ (เลว) เเล้ว” มาร์ค-ณัชพล สุพัฒนะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 พฤษภาคม 2560 เวลา 20:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/496459

"หมดเวลากลัวตำรวจ (เลว) เเล้ว" มาร์ค-ณัชพล สุพัฒนะ

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

วันที่ความรู้สึกของประชาชนห่างไกลออกไปจากความไว้วางใจที่มีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชื่อของ “มาร์ค พิทบูล” ณัชพล สุพัฒนะ กำลังโด่งดังเเละได้รับความสนใจจากประชาชนในฐานะจอมวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่รัฐตัวฉกาจ

หนุ่มใหญ่ผมยาว คิ้วเข้ม มาดเท่ นั่งอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้ไม้ใน Pitbullzone ร้านกาแฟและร้านล้างรถย่านเฉลิมพระเกียรติ–ศรีนครินทร์ เขาพร้อมแล้วที่จะเปิดเผยประวัติและเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา

จากชายผู้เชี่ยวชาญเรื่องพฤติกรรมสุนัขพันธุ์ดุ สู่นักวิจารณ์ตำรวจ ผู้ออกหน้าออกตาและประกาศขอความเป็นธรรมให้กับประชาชน

แจ้งเกิดในฐานะเจ้าของพิทบูล

มาร์ค พิทบูล จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ และระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยความชื่นชอบสุนัขและเลี้ยงไว้ตั้งแต่สมัยเรียนที่เมืองนอก เมื่อกลับมาเมืองไทยในปี ค.ศ. 2000 จึงหอบหิ้ว “อเมริกัน พิทบูล เทอร์เรีย” สุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกกลับมาด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่เลี้ยงดู เจ้าตัวยังถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ เทคนิคการดูแล ตลอดจนรณรงค์ให้คนเลี้ยงสุนัขอย่างถูกต้องไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม โดยเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง

“เขียนเล่าเรื่อง จนมีคนติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาถามปัญหาการเลี้ยงหมา ต่อมามีการนัดมิตติ้ง จัดสัมมนา กิจกรรมไปเที่ยววัดทำบุญต่างจังหวัด เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นมาร์ค พิทบูล เลยครับ”

ชื่อเสียงของมาร์ค เริ่มติดหูในวงการสุนัข นอกจากตอบคำถามและเขียนเรื่องราวผ่านเว็บไซต์แล้ว ยังได้รับโอกาสเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารประเภทสัตว์เลี้ยงด้วย อย่างไรก็ดีเนื้อหาในบทความดังกล่าว กลับถูกให้น้ำหนักในประเด็นสังคมมากกว่าเรื่องราวของสุนัข

“ให้มุมมองการทำงาน การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน รัฐบาลประกาศนโยบายแบบนี้ ส่งผลยังไงต่อประชาชน วิเคราะห์กันไป ส่วนใหญ่เขียนเรื่องในกระแส ตอนท้ายค่อยตบด้วยเรื่องหมา เลี้ยงยังไง สัปดาห์นี้มีกิจกรรมอะไร โน่นนี่นั่น”

เหตุผลที่เขาเลือกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมเพราะมองว่า การเลี้ยงสุนัขจะโฟกัสอยู่เพียงแค่การดูแลและฝึกหัดไม่ได้ ชีวิตจริงคนเรามีมากกว่านั้นซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องรับรู้

“บางคนเขาก็ถาม คอลัมน์ในหนังสือหมา แต่ทำไมมีเรื่องหมานิดเดียว ผมตอบว่า คนเลี้ยงหมา รักหมา ไม่ใช่ว่าทุกลมหายใจเข้าออกต้องมีแต่หมา คนเราต้องกินข้าว ต้องใช้รถ ใช้ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา คนเลี้ยงหมาต้องสนใจเหตุการณ์ความเป็นไป เพื่อนบ้าน ความเดือนร้อนในสังคม เราต้องรู้”

มาร์ค พิทบูล โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ หลังจากมีเหตุการณ์สุนัขทำร้ายและกัดคนตาย สื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ พากันติดต่อขอสัมภาษณ์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและนักปรับพฤติกรรมสุนัข ส่งผลให้เขามีชื่อเสียงวงกว้างในวงการสุนัขโดยเฉพาะพิทบูล

“ตอนนั้นไปออกแทบทุกช่อง แรกๆ พูดแค่เรื่องพิทบูล ตอนหลังก็ไปมันทุกพันธุ์ คนมาปรึกษามากขึ้นเรื่อยๆ”

จากวิจารณ์หมาสู่การวิจารณ์ตำรวจ

จากบทบาทนักปรับพฤติกรรมสุนัข ปัจจุบันมาร์ค พิทบูลมีชื่อเสียงในฐานะนักวิจารณ์เจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้เดือดร้อน

การแสดงความเห็นทั้งหมดในหน้าเฟซบุ๊กของเขาถูกหล่อหลอมมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ต้องพบเจอกับตำรวจบ่อยครั้งตลอดการเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ “ผมลงจากรถไปเถียงกับตำรวจประจำ” เขาเอ่ยถึงพฤติกรรมของตัวเองด้วยรอยยิ้ม

“ตำรวจต่างประเทศเป็นมิตรกับประชาชน บ้านเราออกแนวรังแก ใช้อำนาจโดยมิชอบ ขับรถโดนเรียก โบกไถ่ตังค์ ผมชักเริ่มหงุดหงิด เริ่มเถียงมาเรื่อยๆ แต่สมัยนั้นไม่มีเฟซบุ๊กเหมือนทุกวันนี้เลยยังไม่มีคนรู้จัก”

เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้แจ้งเกิดในด้านการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่รัฐก็คือ การเปิดประเด็นเรื่อง ป้ายทะเบียนรถแตกลายงา เขาตั้งคำถามว่า ทำไมประชาชนต้องเดือดร้อนด้วยการเดินทางไปเปลี่ยนป้ายทะเบียนถึงขนส่งทางบกด้วย ทำไม่ส่งมาให้เหมือนใบสั่งตำรวจ

“มันไม่ใช่ความผิดประชาชน ทำไมคุณส่งมาไม่ได้ มันไม่เป็นธรรม” ชายหนุ่มบอกถึงเรื่องที่ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในอดีต

เหตุการณ์ที่สองคือการต่อสู้ กรณีปัญหาเรื่องเกียร์พังของรถฟอร์ด จนสุดท้ายสามารถเรียกร้องเงินคืนได้สำเร็จ

เหตุการณ์ที่สามเป็นคลิปอันโด่งดังไปทั่วโลกออนไลน์มีคนดูเกือบ 3 ล้านครั้งและแชร์ต่อนับแสน เป็นภาพเจ้าตัวถกเถียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเด็นการ “เสริมแหนบ” รถเพื่อทำให้รถยนต์สามารถบรรทุกได้มากขึ้น

อีกเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของมาร์ค พิทบูลเป็นที่รู้จักเป็นจำนวนมากก็คือการประกาศระดมเงินจำนวน 1 ล้านบาทเพื่อมอบให้กับ จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครูที่ถูกตัดสินจำคุกเมื่อปีพ.ศ. 2556 หลังเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและต้องสูญเสียหลายสิ่งสำคัญในชีวิต

“ผมและทุกคนมอบเงินเพื่อสะท้อนการทำงานที่ไม่เป็นธรรมของภาครัฐและความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม” มาร์คระบุ

ทั้ง 4 เหตุการณ์เป็นประเด็นตัวอย่างที่เขาออกมาร้องเรียนและได้รับแรงสนับสนุนจำนวนมากจากสังคม ปัจจุบันมีคนติดตามในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Pitbullzone กว่า 3.5 แสนคน แต่ละโพสต์ที่อัพเดทนั้นได้ความสนใจอย่างมากและกลายเป็นพื้นที่เรียกร้องขอความเป็นธรรมรวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากประชาชน

“รวมพลคนหัวแข็ง” ปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องของทุกคน

ล่าสุดมาร์ค พิทบูล จับมือกับ เกรียงไกร ไทยอ่อน เจ้าของฉายา ‘จเรโป้งเหน่ง’ ผู้ต่อสู้กับการตั้งด่านผิดกฎหมาย เเละ เกิดผล แก้วเกิด ทนายความอิสระขวัญใจโซเชียลมีเดีย ร่วมปฏิญาณต่อสู้กับความไม่ธรรมในสังคมและเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยพวกเขาเรียกการรวมตัวครั้งนี้ว่า “รวมพลคนหัวแข็ง”

ประธานชมรมมิตรภาพพิทบูล บอกว่า รวมพลคนหัวแข็งเป็นการรวมตัวของพันธมิตรมากมายหลากหลายกลุ่ม  คอยแลกเปลี่ยนข้อมูล และทำหน้าที่กดดันทางสังคมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือว่ามีพลังค่อนข้างสูง

“สิ่งที่เราพยายามรณรงค์คือ ประชาชนต้องไม่ทำผิดกฎหมาย พยายามสอนให้พวกเขาแข็งแรง แก้ปัญหาและดูแลตัวเองได้มากขึ้น เราเอาความรู้ ประสบการณ์ที่เจอมาถ่ายทอดให้เขาฟัง เริ่มจากบอกให้เขาช่วยเหลือตัวเองก่อนโดยมีเราเป็นพี่เลี้ยง ถ้าไม่ไหวถึงเข้าไปสบทบ ตอนนี้ทุกคนเริ่มตื่นตัว เริ่มไม่กลัว ถ้าไม่ผิดเริ่มสู้ ผมถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีในสังคม”

หนุ่มใหญ่ ยืนยันว่าไม่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ต้องการให้ตำรวจกลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชน เปลี่ยนแปลงภาพพจน์ขององค์กรที่ตกต่ำให้กลับมาน่าศรัทธาและได้รับการยอมรับอีกครั้ง

“ทำไมผู้ใหญ่ไม่ช่วยกัน  เราพยายามกดดันภาครัฐและผู้นำให้เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้เราพูดเรื่องปฏิรูปแต่ยังไม่มีการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม มีแต่การออกมาตรการรังแกประชาชน  การปฏิรูปมันต้องเริ่มจากตำรวจ ประชาชนพร้อมอยู่แล้ว ทุกคนต้องการตำรวจที่ดี ให้ความเป็นธรรม ไม่รังแกกัน”

เรื่องเร่งด่วนที่มาร์คเห็นว่าเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก ลดความเกลยีดชังระหว่างตำรวจและประชาชนได้ทันทีก็คือ การปรับวิธีการทำงาน การแก้ไขข้อกฎหมายที่ล้าหลัง ลดการใช้ดุลยพินิจให้น้อยลง รวมถึงอย่าพยายามนำช่องว่างของกฎหมายมาเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง

“ความรุนแรงของบทลงโทษนั้นมีการปรับแก้มาเสมอ แต่กฎหมายบางข้อที่ใช้มาตั้งแต่อดีต กลับไม่ได้รับการแก้ไข ถามว่ายุติธรรม สอดคล้องกับการปฏิบัติจริงหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การอนุญาตให้รถยนต์วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม.ต่อชั่วโมง ทั้งๆ ที่รถยนต์สมรรถนะดีขึ้น ถนนดีขึ้น แต่ความเร็วกลับถูกจำกัดเหมือนเดิม กลายเป็นช่องทางหากินของตำรวจ เรื่องใกล้ตัวแบบนี้ มีผลต่อความรู้สึกระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนมาก” ชายหนุ่มระบายพร้อมกับบอกว่า

“ตั้งด่าน เดินวนรอบคัน ควานหาข้อหาให้ได้เพื่อเอาเปอร์เซนต์จากใบสั่ง มันก็ยิ่งเพิ่มความเกลียดชัง ผมเลยรณรงค์ให้ยกเลิกส่วนแบ่งค่าปรับจราจรซะเถอะ”

 

 

ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ประชาชนก็ถือเป็นกุญแจสำคัญอันนำไปสู่การพลิกโฉมวงการสีกากี

เจ้าของฉายาเฮียแหนบ บอกว่า ถึงเวลาที่ประชาชนต้องไม่ยอมเพิกเฉยกับการโดนเอารัดเอาเปรียบหรือรังแก จนกลายเป็นนิสัยและวัฒนธรรมผิดๆ ที่ถูกฝังลึกในสังคม

“สมัยก่อนคนไทยชอบใช้คำว่าฟาดเคราะห์ ใช้เงินซื้อปัญหา คิดว่าไม่เป็นไร รู้ว่าตัวเองโดนรังแก ไม่ผิดก็ยอมจ่าย เพราะถ้าเป็นคดีความมันเสียเงิน เสียเวลามาก ต้องลางาน อดหลับอดนอนไปให้ปากคำ ไปพบอัยการ ศาล หมดแรง คนเลยเลือกจ่ายเงิน จบ ซื้อความสบาย แต่อีกด้านมันเท่ากับสร้างนิสัยและกลายเป็นธรรมเนียมไม่ดี ถึงเวลาที่ประชาชนต้องยอมเสียสละตัวเองแล้ว อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่  เพราะมันเป็นการสร้างนิสัยไม่ดีให้กับตำรวจ”

มาร์ค เรียกร้องให้ประชาชนปฏิรูปตัวเอง กล้าที่สู้และฟ้องร้องต่อสังคมหากว่าตัวเองไม่ผิด รวมถึงเห็นว่าการพัฒนาความรู้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็นับเป็นหน้าที่สำคัญของทุกคนที่ส่งผลดีต่อการปฏิรูปวงการตำรวจเช่นกัน

“อย่ารอให้เป็นหน้าที่ของใคร  การปฏิรูปประเทศหรือตำรวจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จมันอยู่ที่ประชาชนเป็นสำคัญด้วย ไม่มีทางปฏิรูปประเทศสำเร็จได้ ถ้าประชาชนไม่ยอมปฏิรูปตัวเอง”

เป้าหมายและความฝันของณัชพล คือการตอบแทนคุณแผ่นดินและสังคมด้วยจิตสาธารณะเพื่อยกระดับประเทศให้แข็งแกร่งมีประชาชนและตำรวจที่ทำงานอย่างมืออาชีพ

“เราสร้างเนื่อสร้างตัวจนมีวันนี้ ใช้ทรัพยากรเยอะกว่าคนอื่น ใช้รถมากกว่า ใช้ถนนมากกว่า น้ำไฟมากกว่า เพราะอย่างนั้น เราควรต้องตอบแทน คืนกำไรสู่สังคมบ้าง วันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้ร่ำรวยมากแต่ไม่ได้เดือดร้อน อยากให้คนร่ำรวยทั้งหลายแหล่ไม่ลืมว่าเราโตมาได้ไง ควรมีจิตสาธารณะ ตอบแทนสังคมบ้าง ประเทศเราจะดีขึ้น” ณัชพล สุพัฒนะ จบด้วยรอยยิ้ม

คลิปที่ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อครั้งถกเถียงเรื่องการติดตั้งเเหนบรถยนต์

 

Leave a comment