“ดาร์กไอดอล” ฮีโร่ บนความป่วยของสังคม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 มิถุนายน 2560 เวลา 15:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/500072

"ดาร์กไอดอล" ฮีโร่ บนความป่วยของสังคม

โดย…เอกชัย จั่นทอง

สังคมกำลังกลับตาลปัตรหรือไม่…คำถามจากคนไทย เมื่อ “ไอดอลสายดาร์ก” อย่าง “เสี่ยโป้ อานนท์” กับ “เก่ง ลายพราง” ที่โด่งดังไปทั่วในสื่อโซเชียลมีเดียบนเรื่องราวบาดหมางส่วนตัวคนสองคน ขณะที่สื่อทีวีจัดรายการให้ทั้งคู่ออกอากาศเคลียร์ใจถ่ายทอดสดให้คนดูทั่วประเทศ เนื้อหาสาระเล่าถึงการจะฟาดปากกัน และวิถีนักเลง ในอดีตค้ายา ไล่แทง ยิง  กระทั่งไปถึง การจัดต่อยมวยที่สนามลุมพินีเมื่อไม่นานมานี้ระหว่าง “เสี่ยโป้” กับ “กง เมืองมีน” ที่สุดท้ายกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูไป

หลายคนให้ความสนใจเสพติดตาม  ผู้จัด นักสร้างก็หวังที่เรตติ้งให้กับสนามมวยก็ดี หรือ กับ ทีวีในยุคเศรษฐกิจหน้าจอตกต่ำ เพื่อเพิ่มยอดคนดูโดยไม่สนใจถึงเนื้อหาและสาระ  เยาวชนไม่น้อยก็ลุ่มหลงเข้าใจผิดว่าพฤติกรรมสีเทาเหล่านี้ ทำให้เป็นเน็ตไอดอลและฮีโร่ยอดไลค์ได้ไม่ยาก

อัมพร  เบญจพลพิทักษ์  ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต วิพากษ์ปัญหาในสังคมตอนนี้ว่า ในภาวะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อได้ง่าย และทุกคนทำตัวเป็นสื่อโดยที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจได้ง่าย ดังนั้นสื่อกระแสหลักต้องทำงานหนักขึ้นในการดึงความสนใจจากผู้คน สื่ออาจมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นตั้งแต่มีช่องทีวีดิจิตอลจำนวนมาก รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นนั่นอาจทำให้การคิดไม่รอบคอบเกิดขึ้นได้

ส่วนการนำเสนอคนสายดาร์กขึ้นมาเป็นไอดอลย่อมมีโอกาสสร้างความสนใจได้สูง เทียบกับกลไกดั้งเดิมที่เคยชื่นชมความดีงาม ถ้าทำลักษณะนี้ต่อเนื่องความดีงามอาจไม่มีความแปลกใหม่ แต่ว่ากระแสของคนสายดาร์กเป็นความชั่วร้ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นใหม่ แต่ใหม่ในแง่ของการนำเสนอที่มีสติน้อยลงและขาดความระมัดระวังขึ้นเรื่อยๆจึงเป็นการหยิบยกด้านมืดดำของสังคม

“ทั้งนี้ที่ก่อนหน้านี้มีกระบวนการคัดกรองพฤติกรรมไม่ดีแยกออกจากการชื่นชมยินดี เนื่องจากอาจมีโอกาสถูกเลียนแบบได้ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งจากเดิมพอสมควร ตัวอย่างเช่น เรื่องไม่ควรพูด ไม่ควรชม ดันกลายเป็นถูกหักมุมทำกันตรงข้ามหมด ตรงนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง  ดังนั้นต้องทบทวนไปถึงกลไกการห้ามหรือรูปแบบเดิมที่เคยยึดถือกฎเกณฑ์เหล่านั้นมีไว้เพื่ออะไร ถ้าไม่นึกถึงเท่ากับกำลังขาดการล้อมรั้วและกำลังทำลายสังคม”

ผอ.สถาบันราชานุกูล เผยอีกว่า แต่เดิมเรามีกระบวนการคัดกรองไม่ส่งเสริมต้นแบบของความชั่วร้าย เช่น คำพูดหยาบคาย คำพูดก้าวร้าว  ปลุกระดม ทั้งหมดจะถูกคัดกรองไม่ให้มีการเสนอผ่านสื่อ  ต่อมากำแพงตัวนี้ค่อยๆเลื่อนหายไป จากเคยปกป้องปิดกั้นผู้ไร้วุฒิภาวะ  กลุ่มเลียนแบบ ด้วยการคัดกรองและตัดทอนภาพความรุนแรงความเลวร้าย อย่างภาพศพ ภาพน่ากลัวสะเทือนขวัญสร้างความเกลียดชัง ยั่วยุให้เกิดความกลัว  ภาพเกี่ยวกับเรื่องเพศและอบายมุขทั้งหลาย จากที่เคยพยายามตัดทอนคัดกรองภาพเหล่านี้ ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ค่อยๆหมดไป แถมยังมีกลไกว่านี่คือต้นแบบ ซึ่งคิดว่าทุกกฎเกณฑ์ทุกข้อห้ามในอดีตมีที่มาและความหมาย

“ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปในแง่การเสนอด้านไม่ดี แต่ไม่ใช่การรื้อถอนหรือสวนกลับทิศทางอย่างน่าหวาดกลัวเหมือนในสมัยนี้ ถ้าเราไม่ดูแลไม่ช่วยกันคิดก็เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัวรับกับหายนะของสังคมเลย และปัญหาคือกลุ่มคนที่ขาดวุฒิภาวะ คนเครียด ล้วนพร้อมที่จะถูกชี้นำและอาจจะกลายเป็นคนเคว้งเคว้างไม่มีสิ่งยึดเกาะที่ดีได้ ถ้าแวดล้อมเต็มไปด้วยสื่อเสนอพวกสายดาร์กของสังคม หรือเห็นต้นแบบของการชื่นชมสายดาร์กจนเป็นกระแสยอมรับ” อัมพร ฉายภาพปัญหาในอนาคต

ไม่ต่างจากความคิดเห็นของ ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ถึงกับเอ่ยปากยอมรับว่า มีความเป็นห่วงสังคมในขณะนี้อย่างมาก เมื่อมีเนื้อหารุนแรงออกมาลักษณะเช่นนี้ แต่การจับมือแก้ปัญหาจริงแล้วเป็นเพียงภาพเล็กๆของคนสองคน แต่ภาพใหญ่ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมมีเยอะ ส่วนตัวคิดว่ารายการที่มีการนำเสนอทาง กสทช.ควรมีการทบทวนว่าเหมาะสมหรือไม่ ในการนำความรุนแรงในสังคมขึ้นมาเสมือนทำเป็นดราม่าเพื่อเรียกคนให้มาดู ทั้งที่จริงการกระทำเราต้องดูผลกระทบของสังคมด้วย

“ทำไมเราถึงไปให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ ส่วนตัวไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีกับเด็กสองคนที่มาออกรายการ แต่มีความรู้สึกว่าสถานีโทรทัศน์และผู้ผลิตรายการนี้ขาดความรับผิดชอบและยอมให้รายการนี้ออกอากาศ แล้วมีการคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหรือไม่”

ยงยุทธ  ให้ความเห็นต่อว่า เนื่องจากสังคมไทยให้ความสนใจกับเรื่องดราม่า เหมือนคนดูหนังดูละครโดยนึกว่าเป็นคนนอกตัว แต่ที่จริงไม่ได้นึกว่าการทำเช่นนี้มีผลกระทบอย่างไร เช่น มันจะกลายเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงหรืออยู่ในวงการเหมือนเป็นฮีโร่ ซึ่งเรื่องการเลียนแบบจะมีปัญหากับเด็กเยาวชนที่เปราะบางและได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือมีพื้นเพเกี่ยวกับความรุนแรงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีก ส่วนเด็กเยาวชนที่ไม่มีพื้นฐานความรุนแรงคงไม่เลือกนำมาเป็นแบบอย่าง

“แต่ว่าเวลาสื่อออกไปสื่อไม่ได้เลือกกลุ่มคนประเภทหนึ่งหรือสอง แต่ทุกคนรับได้ดูได้หมด อาจทำให้คนที่เปราะบางเสี่ยงต่อการเรียนรู้และนำไปเป็นแบบอย่างความรุนแรงมากขึ้น”

ในฐานะอดีตนายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย หมอยงยุทธ เตือนสติว่า แม้ว่าในยุคสมัยนี้สื่อมวลชนจะมีการแข่งขันอย่างมาก จึงทำให้แต่ละช่องต้องหาจุดเด่นของตัวเอง แต่อย่าทำให้เกินขอบเขตความเหมาะสมของสังคม

Leave a comment