ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
26 มิถุนายน 2560 เวลา 19:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499984

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด
การแก้ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ… หรือ กฎหมายบัตรทอง ช่วงที่ผ่านมา เครือข่ายหลักประกันสุขภาพออกมาเดินหน้าเคลื่อนไหวสุดตัว ทำให้เวทีรับฟังประชาพิจารณ์ที่รัฐจัดขึ้น ต้องล้มแบบไม่เป็นท่า โดยข้อเรียกร้องของภาคประชาชนคือการขอให้ยุติกระบวนการแก้ไขร่างกฎหมายครั้งนี้ และเริ่มต้นใหม่โดยเชิญตัวแทนจากทุกฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามสุดท้ายดูเหมือนเสียงเรียกร้องจะไม่เป็นผลเพราะทางคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงเดินหน้าเต็มที่
ข้อมูลในประเด็นดังกล่าวนั้นถูกนำเสนอจากผู้เชี่ยวชายหลากหลายท่าน รวมถึง นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ที่พร้อมจะถ่ายทอดความคิดเห็นที่มีต่อระบบประกันสุขภาพคนไทย
แก้กฎหมายบัตรทอง ตัวจุดชนวนทำลายระบบรัฐสวัสดิการ
อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท เล่าว่า สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เกิดขึ้นมาจาก นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการ สปสช. ผู้บุกเบิกและผลักดันโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตอนนั้นต้องการแก้ปัญหาอำนาจทางการเมืองที่พยายามเข้ามาล้วงลูกการทุจริตจัดซื้อยาผ่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข จนทำให้เกิดการฟ้องและมีรัฐมนตรีสมัยนั้นถูกดำเนินคดี
วิธีการที่ นพ.สงวน ทำคือการดึงเงินออกจากกระทรวงฯ ให้มาอยู่ที่ สปสช. โดยตั้งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาทำหน้าที่ดูแลงบประมาณในส่วนนี้ พร้อมกับนำระบบบริหารจากประเทศแถบยุโรปและสแกนดิเนเวียเพื่อมาเป็นต้นแบบ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศเหล่านี้ใช้ระบบรัฐสวัสดิการ ซึ่งแตกต่างจากประชานิยม ดังกล่าวหมายถึงรัฐบาลจะดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานตั้งแต่การอยู่ การกิน การศึกษา และระบบสาธารณสุข โดยรัฐบาลจ่ายให้หมด แตกต่างจากประชานิยมที่รัฐจ่ายให้เฉพาะส่วนที่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เหมือนโครงการรถคันแรก ที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
นอกจากนี้หากเทียบความแตกต่างระหว่างการบริหาร สปสช. กับกระทรวงสาธารณสุขมีความแตกต่างกันมาก เพราะกระทรวงฯ ใช้กลไกรูปแบบบริหารเจ้านายกับลูกน้องโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้มีอำนาจอันดับหนึ่งจากนั้นไล่เรียงลงมาตามลำดับ
“ระบบนี้สามารถสั่งการได้โดยตรงหากรัฐมนตรีต้องการอะไรจะใช้ตำแหน่งเป็นเหยื่อล่อแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานที่ไม่ถูกต้องได้ เมื่อเป็นเช่นนี้อาจทำให้เกิดปัญหาเหมือนในอดีต นพ.สงวน จึงนำระบบที่มีผู้เกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วนและประชาชนเข้ามาบริหาร เพื่อให้เกิดความเหมาะสมถ่วงดุลอำนาจป้องกันการล้วงลูก”
ผอ.รพ.น่าน ชี้ว่าระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าคือรัฐสวัสดิการ โดยในต่างประเทศการร่วมจ่ายไม่มีเพราะเมื่อไหร่หากใช้คำว่าร่วมจ่าย จะทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าต้องจ่ายเงินเพิ่ม เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเกิดการแบ่งแยกระหว่างกลุ่มคนมีเงินกับผู้ที่ไม่มี ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกแบ่งแยกเป็นประชาชนชั้น 2 ได้ อย่างเช่น สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ กับสิทธิบัตรทองที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นหากมีการร่วมจ่ายจะเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสิทธิซึ่งอาจจะทำให้ระบบพัง เพราะระบบรัฐสวัสดิการที่ถูกออกแบบไว้เพื่อต้องการให้เกิดความเท่าเทียม

ปัญหาบัตรทอง คือเงินไม่พอ
นพ.พงศ์เทพ ชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงขณะนี้คือเงินไม่พอ เพราะระบบการแพทย์ของไทยพัฒนาขึ้นมากทั้งเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ จึงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และที่ผ่านมาผู้ให้บริการอย่างกระทรวงสาธารณสุข ไม่สามารถขอเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมาให้บริหารได้อย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ฝ่ายผู้ให้บริการรู้สึกว่าเมื่อมีกลุ่มตระกูล ส อาทิ สปสช. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ทำให้อำนาจกระทรวงสาธารณสุขลดลง ไม่สามารถช่วยเหลือแก้ปัญหาได้ จึงต้องการเข้าไปเป็นเสียงส่วนใหญ่ใน สปสช. เพื่อจะได้แก้ไขโครงสร้างอำนาจ อาทิ 1.โครงสร้างเพื่อให้กลุ่มผู้ให้บริการอย่างกระทรวงสาธารณะสุข แพทย์ และเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจมากขึ้น 2.ปัจจุบันการแยกเงินเดือนบุคลากรกับงบที่ถูกจัดสรรมาเป็นรายหัว ดังนั้นเมื่อสาธารณสุขเชื่อว่าปัญหาใหญ่คือเงินไม่พอ จึงต้องการปรับปรุงเรื่องดังกล่าวและอื่นๆ
“หากจะให้อำนาจกลับไปอยู่ที่ สธ. ขอตั้งคำถามว่า จะแก้ปัญหาเงินขาดสภาพคล่องได้จริงหรือ ลองนึกสภาพว่าตอนนี้เงินเข้าไปอยู่ในมือ สธ. ยุคที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ เป็นแพทย์ ก็พยายามทำให้บุคลากรของกระทรวงฯ มีส่วนร่วม แต่หากมองว่ายุคต่อไป เมื่อนักการเมืองเข้ามา ไม่รู้จะเป็นใคร เขาจะแบ่งเงินอย่างไร หากมาสั่งว่า ขอให้เงินไปลงที่จังหวัดตนเองมากกว่าที่อื่น ขอถามว่ากระทรวงสาธารณสุข จะใช้อะไรเป็นแบริเออร์กันชนกับฝ่ายนักการเมือง เมื่อสั่งแล้ว ข้าราชการก็อยากมีความก้าวหน้า ตรงนี้อาจเป็นจุดอันตราย”
อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบทเสนอว่า สธ.กับ สปสช ควรเจรจราแบ่งเค้ก แต่ปัญหาอยู่ที่เค้กตอนนี้ไม่พอจะแบ่งจึงต้องย้อนกลับไปที่รัฐบาล ควรใส่ใจให้ความสำคัญกับปริมาณเงินที่มากพอก่อน โดยเปรียบเทียบคล้ายกับสงครามดึงผ้าห่ม หากมีลูก 5 คนอยู่บนเตียงและมีผ้าห่มผืนเดียว หากลูกคนโตดึงไปน้องคนเล็กก็ต้องหนาว ดังนั้นหากเงินไม่พอ ไม่ว่าใครดูแลก็มีปัญหาเพราะปัญหาใหญ่คือ เงินไม่พอ
อย่างไรก็ตามถึงแม้งบประมาณจะไม่เพียงพอ แต่หากมองถึงการให้บริการของบุคลากรสาธารณสุขในปัจจุบันนับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เนื่องจากยังคงทำหน้าที่ได้ดี
แนะรัฐหาเงิน เพิ่มงบหนุนบัตรทอง
ทางแก้ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือหันกลับมาพูดคุย ทำความเข้าใจและยอมรับตรงกันว่าประเทศไทยไม่สามารถให้บริการได้ในระดับเดียวกับประเทศที่มีการบริหารแบบรัฐสวัสดิการ
นพ.พงศ์เทพ บอกว่า ประเทศต้นแบบเรื่องรัฐสวัสดิการสามารถทำระบบประกันสุขภาพได้ประสบความสำเร็จเนื่องจากรัฐบาลจ่ายงบประมาณจำนวนมากให้ โดยไปเรียกเก็บภาษีอัตราสูงจากกลุ่มคนรวย ซึ่งเสียภาษีมากถึง 60% ขณะที่ประเทศไทยหากรายได้เกิน 5 ล้านบาท เสียเพียง 35% เท่านั้น
ประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อคนรวยเสียภาษีสูง ส่งผลให้คนไม่อยากรวยมาก เลือกทำแต่พอกิน และนำส่วนที่เหลือมาแบ่งปันให้คนชนชั้นล่าง เพราะเขามองว่าควรต้องทำให้คนชนขั้นล่างอยู่ได้ มีงานทำ มีการศึกษาและระบบรักษาพยาบาลที่ดี เพราะถือเป็นหนทางแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
“ประเทศไทยเมื่อไปลอกเลียนระบบรัฐสวัสดิการเขามา ตั้งแต่การศึกษาฟรี สาธารณสุขฟรี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เราเก็บภาษีได้ยังไม่มากพอ ที่จะนำไปให้บริการส่วนนี้เต็มที่ ดังนั้นรัฐต้องกลับมามองว่า จะใช้วิธีอย่างไรเพื่อเก็บภาษีอย่างไรให้ได้มากขึ้น”
นพ.พงศ์เทพ เสนอว่า แนวทางที่รัฐบาลควรเดินไปคือการเพิ่มรายได้ แต่ต้องไม่ใช่ลักษณะร่วมจ่าย โดยอาจมีการจัดเก็บภาษีมากขึ้น ใช้ระบบจูงใจเพื่อให้ผู้ประกอบการบริจาคเงินกับกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและนำไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 200% มีการประกาศเกียรติคุณลงในสื่อ แนวทางนี้เป็นตัวอย่างที่อาจทำให้เจ้าสัวผู้มีฐานะอันดับต้นๆ ของเมืองไทยยอมบริจาคหลายเงินร้อยล้าน-พันล้าน เพื่อระบบสาธารณสุข
อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท เตือนว่า หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าแก้ไขร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ภายใต้บรรยากาศความไม่ไว้วางใจระหว่างแพทย์กับผู้รับบริการ อาจเป็นชนวนทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลาย และไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ใช้มาตรา 44 แก้ปัญหาบางประเด็นเท่านั้น ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังพยายามแก้ไขเกินเลยซึ่งเริ่มสร้างปัญหา เพราะนอกจากแก้ไม่ถูกจุด ยังทำให้ประชาชนเกิดความขุ่นเคืองไม่ไว้ใจมากขึ้น ควรต้องระวังเรื่องศรัทธาที่สำคัญกว่าอำนาจ
นพ.พงศ์เทพ เสนอว่า กระทรวงสาธารณสุขต้องกลับมาทบทวน ตั้งคณะกรรมการที่มาจากหลายภาคส่วน เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยนำเสนอความต้องการและปัญหาอย่างจริงจังเพื่อแก้กฎหมาย อาจเสียเวลาบ้างแต่เชื่อว่าได้ผลดีกว่าเดินหน้าต่อไปในบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อความสำเร็จ ซึ่งหากเดินต่อไปปัญหาจะลุกลามขยายผลจนกลายเป็นการประท้วง และกลายเป็นข่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจุดชนวนโจมตีได้
“รัฐบาลต้องถอยกลับมาก่อน และดูว่าเมื่อเงินไม่พอควรหามีวิธีใหม่ว่าจะทำอย่างไร นอกจากการเปลี่ยนโครงสร้าง การรวมจ่าย การแยกเงินเดือน หรืออะไรก็ได้เพื่อหาเงินเพิ่ม แต่วิธีที่ดีที่สุดควรให้ด้วยความสมัครใจ ไม่ควรมีการร่วมจ่าย เพราะหากมีมันจะเกิดความเหลือมล้ำระหว่างคนจนกับรวย ทำให้ระบบบริการเกิดสองมาตราฐาน”
อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท ทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องหยุดสงครามบัตรทองโดยลดความอคติซึ่งกันและกัน และมองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
