ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
https://www.posttoday.com/politic/analysis/539130
- วันที่ 05 ก.พ. 2561 เวลา 08:11 น.

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ก้าวเข้าสู่เดือน ก.พ. เดือนที่สองของปี ยังไม่เห็นทีท่าว่าสถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาลจะมีทิศทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสถานการณ์กลับเลวร้ายมากยิ่งขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำลังเป็นจุดอ่อนของทีมรัฐบาลชุดนี้อย่างเห็นได้ชัด
ช่วงขาลงของ พล.อ.ประวิตรนั้นได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะการเข้ามาทำหน้าที่รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ซึ่งได้มีการแสดงความคิดเห็นในทำนองว่ายังไม่ต้องการให้เกิดการใช้เสรีภาพของประชาชนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะมีผลกระทบต่อรัฐบาล
ดังจะเห็นได้จากมาตรการทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันไปยังฝ่ายตรงข้าม ภายใต้ข้อหาขัดคำสั่ง คสช. เรื่องการห้ามการชุมนุมเกิน 5 คนหรือความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในหลายข้อหา
จนมาถึงการถูกเปิดเผยเกี่ยวกับการใช้งบประมาณในการไปประชุมต่างประเทศ ซึ่งถูกตั้งคำถามว่ามีความเหมาะสมและเกินความจำเป็นหรือไม่ ตามมาด้วยการแสดงท่าทีในลักษณะต่อการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร นำมาซึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมต่อ พล.อ.ประวิตร อย่างรุนแรง ยังดีที่ในกรณีหลังมีการออกมาขอโทษ จึงทำให้น้ำที่เชี่ยวมีความนิ่งขึ้นมาในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากจะบอกว่าจุดพีกที่สุดในเวลานี้ของ พล.อ.ประวิตร ต้องยกให้กับประเด็น “นาฬิกาหรู”
จุดเริ่มของประเด็นมาจากการยกมือบังแดดของรองนายกฯ ในวันถ่ายรูปหมู่ของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพียงแค่รูปนาฬิกาใต้แขนเสื้อเพียงเล็กน้อย ปรากฏว่านำไปสู่การขยายความตามมาไม่เว้นแม้แต่ละวัน
เรื่องนี้จะไม่เป็นประเด็นเลยหากนาฬิกาดังกล่าวอยู่ในรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่เมื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น จึงก่อให้เกิดคำถามว่าแบบนี้ พล.อ.ประวิตร จะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่
แผลที่ของ พล.อ.ประวิตร ถูกขยายนั้นไม่ได้มาจากการแสดงท่าทีต่อเรื่องดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากท่าทีของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ “ป.ป.ช.” ด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ ออกตัวปกป้องพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ชัดเจน ทั้งการบอกว่า “เป็นเรื่องส่วนตัว” “ขอให้ลดราวาศอก” ส่วน ป.ป.ช.ซึ่งถูกจับตาอยู่แล้วในฐานะมีประธานชื่อ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ”ที่เคยทำงานกับ พล.อ.ประวิตร มาก่อน ปรากฏว่า ป.ป.ช.พยายามจะเลี่ยงตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการทำงานตรวจสอบในเรื่องนี้
แม้ในเวลาต่อมาประธาน ป.ป.ช.จะขอถอนตัวจากการตรวจสอบคดีนี้ แต่เมื่อ ป.ป.ช.พยายามใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งตกต่ำไปอีก
การพยายามไม่แก้ปัญหาด้วยการกำจัดจุดอ่อนของรัฐบาลออกไป นำมาซึ่งการผลักมิตรไปเป็นศัตรูมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม 40 สว. หรือกลุ่มนักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวที่เคยต่อต้านฝ่ายการเมืองและสนับสนุน คสช.มาก่อน พอมีเรื่อง พล.อ.ประวิตร แดงออกมา จึงเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ จัดการเรื่องนี้ด้วยการปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจากรัฐบาลเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ในทางการเมือง
แต่มาถึงเวลานี้ยังไม่มีกระแสตอบรับจากผู้นำรัฐบาลแม้แต่น้อย
ล่าสุด มีเพียงการแสดงท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ที่พร้อมจะลงจากตำแหน่ง หากประชาชนไม่ต้องการ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ระหว่างงานเลี้ยงปีใหม่ร่วมกับข้าราชการกระทรวงกลาโหมและผู้สื่อข่าวสายทหาร
“ทหารไม่ได้มีความขัดแย้งกันกับสื่อ และการที่สื่อนำเสนอข่าวตรงไปตรงมา น่าจะเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการที่จะให้เป็นเช่นนั้น ผมไม่ได้มาขอร้อง ว่าจะต้องทำอย่างนั้นหรือทำอย่างนี้ แต่อยากจะบอกสื่อสายทหารว่า ผมรับราชการมาตั้งแต่ปี 2511 จนถึงขณะนี้ผ่านมา 50 ปีแล้ว ไม่เคยมีเรื่องอะไรหนักๆ ก็ดูเอาแล้วกันว่าผมได้ทำอะไรที่เสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองหรือไม่
ผมเข้ามาเพราะอยากจะช่วยเหลือบ้านเมือง อยากทำงานในบ้านเมือง ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้ เพราะฉะนั้นอยากจะฝากกับสื่อว่าอยากให้ดูว่าผมทำงานมาตลอด 50 ปีได้ทำอะไรไว้บ้าง” ความในใจจาก พล.อ.ประวิตร
พิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตร ด้านหนึ่งดูเหมือนจะเป็นการถอดใจเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดเรื่องการออกจากตำแหน่งมาก่อน แต่มาครั้งนี้กลับพูดเรื่องลาออกต่อสื่อมวลชน จึงทำให้เกิดคำถามว่าทหารผู้มากบารมีใน คสช.นายนี้จะถอดใจหรือไม่
ถ้าว่ากันอย่างตรงไปตรงมา ลึกๆ แล้ว พล.อ.ประวิตร ก็น่าจะล้ากับการต่อสู้กับแรงต่อต้านเช่นกัน มิเช่นนั้นแล้วคงไม่เปรยเรื่องการทิ้งเก้าอี้อย่างนั้น แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว การมี พล.อ.ประวิตร ไว้ในรัฐบาลย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่าอย่างแน่นอน
หาก พล.อ.ประวิตร อยู่ในตำแหน่งต่อไป ย่อมช่วยเกื้อหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่มพูนบารมีทางการเมืองได้มากขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประวิตร นั้นมากบารมีและคอนเนกชั่นทางการเมืองขนาดไหน เรียกได้ว่า เลือดบูรพาพยัคฆ์ย่อมเข้มข้นกว่าสิ่งอื่นใด
ทว่าการให้ พล.อ.ประวิตร อยู่ในตำแหน่งต่อไปนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นจุดอ่อนให้รัฐบาลกลายเป็นเป้าโจมตีทางการเมืองมากขึ้นไปจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และในเวลานี้กระแสต่อต้านจากโลกออนไลน์เริ่มปรากฏมาอยู่ในโลกของความจริงแล้ว
แม้จะเป็นกระแสต้านที่เริ่มจากจุดเล็กๆ พลังยังไม่มากพอที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในเร็ววันนี้ แต่มองย้อนกลับไปในอดีต จุดจบของรัฐบาลก็ต่างมาจากสิ่งที่เรียกว่าจุดเล็กๆแทบทั้งสิ้น