ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
https://www.posttoday.com/politic/analysis/538466
- วันที่ 01 ก.พ. 2561 เวลา 09:54 น.

ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กับการเข้าไปดำเนินการตามกฎหมายกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนกวนใจ คสช.
ล่าสุดกิจกรรม “นัดรวมพลประชาชนอยากเลือกตั้ง แสดงพลังต้านสืบทอดอำนาจ คสช.” เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน นับเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูก “ตัดไฟแต่ต้นลม”
ไม่แปลกที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. จะรีบเข้าแจ้งความ หลังได้รับมอบอำนาจจาก คสช.ให้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนักศึกษาและนักกิจกรรมที่จัดกิจกรรม
รวมทั้งหมด 7 คน ได้แก่ 1.รังสิมันต์ โรม 2.สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ 3.ณัฏฐา มหัทธนา 4.อานนท์ นำภา 5.เอกชัย หงส์กังวาน 6.สุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ 7.เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
ด้วยข้อหา 1.ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไป และ 2.กระทำการยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ขณะนี้ตำรวจ สน.ปทุมวัน ได้ส่งหมายเรียกไปยังผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนแล้ว เพื่อให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 2 ก.พ.นี้
เมื่อกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการ “หยั่งกระแส” เช็กทิศทางการเคลื่อนไหวว่าจะจุดกระแสติดหรือไม่ พร้อมวัดพลังความเหนียวแน่น ด้วยการนัดรวมตัวกันอีกครั้งวันที่ 10 ก.พ.ที่ถนนราชดำเนิน
ในมุม คสช.ย่อมมองว่าหากปล่อยให้ดำเนินกิจกรรมลักษณะนี้ต่อไป โดยไม่ทำอะไร ย่อมเกิดการชุมนุมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และหาก “ติดลม” ได้รับแรงสนับสนุน ย่อมขยายวงบานปลายจนยากจะเข้าไปควบคุม
การงัดไม้แข็งตัดสินใจ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ย่อมทำให้คนที่จะก้าวออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดกิจกรรมรอบต่อไป ต้องคิดหนักกับผลที่จะต้องตามมา อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ที่สำคัญแกนนำหลายคนล้วนแต่มีแผล อาทิ จ่านิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ เคยถูกศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินจำคุก 6 เดือน คดีละเมิดอำนาจศาล จากการแสดงออกทางสัญลักษณ์และจัดกิจกรรมทางการเมือง แต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก
การฝ่าฝืนเงื่อนไขครั้งนี้อาจทำให้จ่านิวต้องกลับไปรับโทษจำคุกที่รอลงอาญาไว้ นั่นย่อมทำให้หลายคนที่มีบาดแผลไม่กล้าเข้ามาเป็นแกนนำเคลื่อนไหวในวันที่ คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ รวมทั้งยังมีคำสั่ง คสช.ที่สกัดห้ามการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองที่ใช้มานานร่วม 4 ปี
ทว่าในสถานการณ์และบรรยากาศการเมืองขณะนี้ แตกต่างจากช่วงหลังรัฐประหารที่สังคมกำลังคาดหวังว่าจะเป็นโอกาสให้บ้านเมืองได้เดินหน้าไปสู่เส้นทางของการปฏิรูป และปรองดอง อย่างที่ คสช.ประกาศ
การให้โอกาส คสช.มานานกว่า 3 ปี แต่ยังไม่เห็นทิศทางที่จะนำพาประเทศออกจากวังวนปัญหาได้ มีแต่สัญญาณการขยับเลื่อนเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการยื้ออยู่ในอำนาจ
การใช้อำนาจเข้าไปสกัดการเคลื่อนไหวของประชาชนซึ่งเป็นไปอย่างสันติ จึงอาจกลายเป็น“บูเมอแรง” สร้างแรงกดดันย้อนกลับมายัง คสช.อย่างคาดไม่ถึง
ประการแรก ประเด็นการเคลื่อนไหวครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งในปีนี้ตามกรอบเวลาที่รัฐบาลเคยประกาศไว้แต่แรก ซึ่งมีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอจะออกมาเคลื่อนไหว
ในสายตาต่างชาติ การออกมาเรียกร้องให้ คสช.จัดการเลือกตั้ง ตามที่เคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมต่อนานาชาติไปแล้วนั้น ย่อมมีน้ำหนักเพียงพอ และยังสอดรับไปกับท่าทีของทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้เดิม
ประการที่สอง การเคลื่อนไหวเป็นการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพที่รับรองตามรัฐธรรมนูญ แม้จะไปกระทบกับคำสั่ง คสช. แต่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ ในฐานะประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งเขียนรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
การที่ คสช.ใช้อำนาจเข้าไปสกัดการเคลื่อนไหว ในสถานการณ์ที่ไม่พบสัญญาณความรุนแรง หรือมีการกระทำใดๆ ที่จะไปกระทบกับความมั่นคง จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และเกินกว่าเหตุ
ยิ่งในวันที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อกคำสั่งเพื่อเปิดทางให้กลุ่มต่างๆ เคลื่อนไหวได้ รองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น การมาบังคับใช้คำสั่งนี้เพื่อสกัดกลุ่มที่เรียกร้องการเลือกตั้งจึงไม่เป็นผลดีต่อ คสช.
ไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวของนักวิชาการเครือข่าย People Go network จัดกิจกรรม “We Walk เดินมิตรภาพ” จากกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ที่ต้องการสะท้อนสภาพปัญหา และเสนอทางแก้ ในแง่มุมของประชาชนนักวิชาการ ที่ไม่อาจส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
การตอบกลับด้วยการแจ้งความดำเนินคดีกับ 8 แกนนำและเครือข่ายประชาชน ย่อมอาจทำให้เรื่องนี้บานปลาย โดยเฉพาะภายหลัง 26 นักวิชาการได้ออกมาเรียกร้องให้หยุดขัดขวางการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพ
การที่ คสช.เลือกตัดไฟแต่ต้นลมจึงอาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่บานปลายกลายเป็นความปั่นป่วนในอนาคต