ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/563912
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ม.ค. 2559 05:01

คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.58 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของโครงงานที่ “นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง ฝันจะให้เกิดขึ้นให้ได้ในประเทศไทย
เพราะการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ไม่เพียงจะก่อให้เกิดการปฏิรูปแบบ “พลิกโฉม” ระบบการชำระเงินที่ดีที่สุดในโลกอีกระบบหนึ่งที่คิดค้นโดยคนไทย ยังจะเปลี่ยนวิถีการใช้เงินของคนไทยจากที่ต้องพกพาเงินสดเป็นฟ่อนๆไปซื้อสินค้าไปตลอดกาล!
ทั้งยังจะช่วยให้พัฒนาฐานภาษีของประเทศให้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น รวมทั้งช่วยให้รัฐบาลสามารถแยกแยะ “ผู้มีรายได้น้อย” ตัวจริงออกจาก “ตัวปลอม” เพื่อส่งความช่วยเหลือไปให้อย่างถูกฝาถูกตัวอีกด้วย
โฉมหน้าและเค้าโครงระบบการชำระเงินแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจฐานดิจิตอลเป็นอย่างไรนั้น “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ “นายระเฑียร ศรีมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
“เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะ “ประธานคณะทำงานการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ” ดังนี้ :
เผยโฉมชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบชำระเงินของประเทศ โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่การโอนเงิน การรับจ่ายเงินระหว่างประชาชน รวมไปถึงการใช้จ่ายของภาคเอกชนและรัฐบาล” นายระเฑียร เริ่มต้นบทสนทนากับ “ทีมเศรษฐกิจ” ถึงการนำประเทศไทยไปสู่การใช้ “เงินอิเล็กทรอนิกส์” แทน “เงินสด”
โดยจะมีการนำเอาระบบชำระเงินซึ่งเป็นพื้นฐานใหม่ที่เรียกว่า Any ID ขึ้นมา ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลตัวบุคคล (Identification) ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ “อีเมล” หรือหมายเลขบ้าน มาเป็นรหัสผ่านในการชำระเงิน หรือโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจ่ายจากบัญชีธนาคารที่ผูกไว้ สร้างความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เฉพาะบัญชีธนาคาร
นอกจากนั้น ยังช่วยอำนวยความสะดวกในช่องทางการชำระเงินในอนาคต เช่น การชำระเงินผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ขณะที่การขยายการใช้บัตรแทนเงินสด โดยติดตั้งเครื่องรับชำระเงินหรือ Electronic Data Capture : EDC ตามร้านค้าทุกร้านทั่วประเทศ และการรับชำระเงินผ่านบัตรของหน่วยงานราชการ จะทำให้คนหันมาใช้บัตรแทนเงินสดมากขึ้น
ท้ายที่สุดเงินสดจะลดลง และจะเหลือบัตร 2 ประเภท คือ บัตรแตะ หรือ “บัตรเติมเงิน” ประเภทต่างๆ และ “บัตรรูด” เช่น บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต ซึ่งสามารถใช้จ่ายแทนเงินสดได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค ใช้จ่ายตามร้านค้า หรือการติดต่อชำระเงินกับทางราชการ
ภายใต้โครงการนี้ คณะทำงานวางเป้าหมายยุทธศาสตร์ไว้ทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การสร้างโครงสร้างระบบชำระเงินแบบ Any ID 2.โครงการขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด 3.ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 4.ระบบ e-Payment ของภาครัฐ และ 5. การให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
“โครงการนำร่องจะเริ่มเห็นภายในกลางปีนี้ และคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาระบบและสร้างโครงการพื้นฐานของระบบชำระเงินใหม่ทั้งหมด อีกประมาณหนึ่งปีเศษถึงจะเห็นระบบการชำระเงินตามที่วางแผนไว้อย่างเป็นรูปธรรม และหลังจากนั้นอีกประมาณ 6 เดือนหรือประมาณต้นปี 2560 ก็จะเริ่มมองเห็นภาพของการเชื่อมโยงระหว่าง National e-Payment กับนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาล”
โดยขณะนี้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆให้สอดคล้องระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงการคลัง พร้อมๆกับบูรณาการกับกระทรวง
อื่นๆ เช่น กระทรวงคมนาคมในการทำตั๋วร่วมที่ใช้บัตรเพียงใบเดียวในการขึ้นรถเมล์ ลงเรือ ต่อรถไฟทั้งบนดินและใต้ดิน
“สิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้คือ การปฏิรูประบบเงินของประเทศขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ดังนั้นภาพที่ปรากฏในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อนเลย เรามีแต่พูดคุยกันอยู่บนกระดาษ และผมมีความเชื่อมั่นรัฐบาลที่ทำจริงจังกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายและให้การสนับสนุนเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ”
โดยหลังจากโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จ ประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนใน 2 เรื่องคือ 1.ปฏิรูปโครงสร้างภาษี และ 2.ปฏิรูปภาคการเงินโดยใช้ e-Payment
e-Payment เปลี่ยนชีวิตคนไทย
เมื่อจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ คือการมุ่งไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของระบบชำระเงินเป็นอันดับแรก โครงการแรกจึงจะเริ่มจากการสร้าง Any ID ขึ้น ซึ่งประชาชนจะแจ้ง Any ID ที่ต้องการผูกกับบัญชีธนาคารของตัวเอง เช่น หมายเลขโทรศัพท์กับบัญชีธนาคารผูกไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นเราจะใช้หมายเลขโทรศัพท์แทนเบอร์บัญชีธนาคารได้ทันที
“ประเด็นนี้ถือเป็นหัวใจของระบบชำระเงินทั้งหมด เพราะคนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้น ที่จะรู้ว่า Any ID ของตัวเองคืออะไร แม้ว่าประชาชนทั่วไปอาจเปิดบัญชีไว้หลายธนาคาร หรือมีโทรศัพท์มือถือหลายเครื่องก็ตาม แต่เมื่อมีการผูกบัญชีเอาไว้กับ Any ID ที่ต้องการไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมีการสั่งโอนเงินจากที่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็จะไหลเข้าสู่บัญชีของตัวผู้รับเงินแท้จริงเท่านั้น”
“วิธีการนี้เหมือนกับ กสทช.ที่มี Mobile Number Portability การคงสิทธิหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม ที่จะเป็นจุดศูนย์รวมของระบบบัญชีหมายเลขโทรศัพท์ของประเทศ โดยนำเบอร์โทร.
ที่ต้องการมาผูกไว้กับบัญชีธนาคารซึ่งจะส่งผลให้คนไทยทั้งประเทศก็มีโอกาสเข้าถึงระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์” นายระเฑียรกล่าว
ขณะที่แนวทางที่ 2 คือ การขยายการใช้บัตรแทนเงินสดให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดคือ จุดรับชำระเงิน เนื่องจากต้องมีการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อใช้สำหรับการรูดบัตรเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันมีการประเมินกันว่า ร้านค้าทั่วประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 2 ล้านร้านค้า เพิ่งติดตั้ง EDC ไปได้เพียง 300,000 เครื่อง ยังเหลืออีก 1.7-1.8 ล้านร้านค้าที่ยังไม่มีเครื่องดังกล่าว โดยส่วนใหญ่เป็นร้านค้าขนาดเล็ก หรือห้องแถว แผงลอย ที่มียอดขายสินค้าน้อยทำให้เกิดความไม่คุ้มค่าในการลงทุนของสถาบันการเงิน เนื่องจาก EDC มีราคาแพง เครื่องละ 3,000-4,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราทำข้อตกลงระหว่างสถาบันการเงินว่า เมื่อลงทุนเองไม่คุ้มค่า ก็ควรมีการจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมค้า (Consortium) พูลเครื่อง EDC ระหว่างกันเพื่อให้ระบบชำระเงินมีความสมบูรณ์มากที่สุด โดยตั้งหน่วยงานกลางเพื่อสร้างระบบเคลียร์ริ่ง หรือระบบชำระเงินระหว่างสถาบันการเงินขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีเครื่อง EDC เป็นของตนเอง และใช้บัตรของตัวเองในการรูดซื้อสินค้า ก็จะเปลี่ยนเป็นเครื่องที่สามารถรูดได้ทุกบัตรและทุกสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็กำลังพัฒนาเรื่องการชำระดุลระหว่างบัตรอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศ (Local Switching) เพื่อลดต้นทุนให้กับระบบชำระเงินภายในประเทศ โดยคาดว่าภายในปีนี้ จะสามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะเดียวกัน ภาครัฐเองจะต้องพัฒนาระบบ e-Payment ของภาครัฐควบคู่กันไป เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเติมเงิน บัตรเครดิต เดบิต เพื่อติดต่อชำระเงินกับหน่วยงานราชการได้สะดวกและรวดเร็ว
nสะดวกทั้งคนใกล้-คนไกล-คนรวย-คนจน
“ระหว่างนี้ทีมงานต้องวางแผนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หากการวางแผนและการพัฒนา e-Payment สำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าถึงระบบที่เราวางเอาไว้ โดยเฉพาะสร้างความเข้าใจให้คนที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกล รวมทั้งคนชรา มีความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น การรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือเงินโอนจากลูกหลานที่อยู่ในเมืองที่ส่งถึงมือโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนอื่น
ขณะที่ยังช่วยในเรื่องความปลอดภัย ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก เพราะเพียงแค่มีบัตรใบเดียวก็สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาล ชำระค่าสินค้าและอื่นๆได้อีกมากมาย”
หลายคนอาจมีคำถามว่า ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เลือกซื้อสินค้าตามร้านค้าทั่วไป แค่ซื้อของเล็กๆน้อยๆ เขาจะรับหรือไม่ ในขั้นตอนนี้เราได้กำหนดเอาไว้ว่า วงเงินขั้นต่ำที่เริ่มใช้บัตรได้ควรจะอยู่ที่ 10-20 บาทต่อการรูดซื้อสินค้า เนื่องจากประชาชนทั้งประเทศมีฐานะทางด้านการเงินที่แตกต่างกัน
และจากตรงจุดนี้เอง ประเภทของสินค้าที่ซื้อ และยอดเงินในการชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ จะทำให้รัฐบาลสามารถแยกแยะผู้มีรายได้สูง-ต่ำ ซึ่งจะช่วยทำให้ภาครัฐสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือหรือออกมาตรการต่างๆ เพื่อคนรายได้น้อยได้อย่างตรงจุด และสามารถทบทวนมาตรการความช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแหในอดีต เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค รถเมล์ รถไฟฟรี ที่คนไทยมีสิทธิเท่าเทียมกันทุกคน และทุกฝ่ายจะเริ่มมองเห็นภาพความแตกต่างที่ชัดเจน คนที่ใช้จ่ายเงินจำนวนมากก็จะมีเงินอยู่ในบัตรมาก อาจไม่ควรได้สิทธิจะขึ้นรถเมล์ รถไฟฟรีจากมาตรการของรัฐบาลอีกต่อไป
ส่วนคนที่มีรายได้น้อย หรือคนจนที่สมควรได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เมื่อรัฐบาลรู้ว่าคนนี้เป็นคนที่มีรายได้น้อย การออกมาตรการของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ เช่น การบรรเทา
ภาระค่าครองชีพ ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่ารถโดยสารฟรี หรือค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาว ก็สามารถเจาะกลุ่มลงไปโดยตรง และจะช่วยลดงบประมาณของรัฐในส่วนที่ไม่ควรเสียได้อีกทางหนึ่งด้วย
อุดรูรั่วภาษี-เพิ่มรายได้รัฐ
“เมื่อรัฐบาลรู้ว่า คนรวยอยู่ไหน และใครคือคนจน แผนการต่อไปของระบบ e–Payment คือ การมุ่งไปสู่การเชื่อมโยงระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์เข้ากับกรมสรรพากร เพื่อให้กรมสรรพากรนำข้อมูลที่ได้รับไปรวบรวมเป็นหลักฐานการใช้จ่ายของประชาชนและร้านทั่วประเทศ” นายระเฑียรกล่าวและชี้แจงเพิ่มเติมว่า
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้พยายามขยายฐานภาษีเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 10 ล้านคน จากจำนวนประชากร 65 ล้านคน และเก็บภาษีจากร้านค้าประเภทนิติบุคคลได้เพียง 400,000 แห่ง จากจำนวนบริษัทมากกว่า 2 ล้านแห่งทั่วประเทศ หมายความว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่เคยเสียภาษี และมีร้านค้าอีกนับแสนๆรายที่ไม่เข้าระบบภาษีของประเทศ
ระบบ “e-Payment” จึงถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลการใช้จ่ายเงินของบุคคลผ่านบัตรไปถึงร้านค้า และจากสถาบันการเงินไปถึงกรมสรรพากร ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างฐานข้อมูลของประเทศไทยขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรมสรรพากรไม่เคยสามารถเชื่อมโยงข้อมูลส่วนบุคคลที่แท้จริงเข้าสู่ระบบการเสียภาษีที่ถูกต้องได้อย่าง 100% แต่หากมีการนำระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้าใช้แล้ว บทบาทในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรก็จะมีมากขึ้น
คนรวยที่ไม่เคยเสียภาษี หรือเสียภาษีแต่ก็น้อยมากๆ หรือภาษีที่เคยหลบเลี่ยง หรือไม่เคยเสียเลย เพราะอ้างว่ามีรายได้เพียงเล็กๆน้อยๆ แต่หากยอดการใช้จ่ายเงินมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่แสดงเอาไว้กับกรมสรรพากร ข้อมูลเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้กรมสรรพากรรู้ตัวทันที
เช่นเดียวกับร้านค้าที่เคยแสดงผลดำเนินงานขาดทุนมาโดยตลอด แต่กลับมียอดขายพุ่งสูงลิ่วจากยอดการรับบัตรผ่าน e-Payment กรมสรรพากรก็จะมีหลักฐานใหม่ๆเกิดขึ้น และเข้าไปตรวจสอบภาษีได้ทันที ซึ่งประเด็นนี้ รมว.คลัง เคยระบุในที่ประชุมว่า หากระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ทำได้สำเร็จ กรมสรรพากรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 100,000 ล้านบาท โดยไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นภาษีใดๆในอนาคต
ดังนั้น ภายใต้โครงการนี้ ผลดีจะเกิดขึ้นกับประชาชนมากที่สุด เพราะ e-Payment จะทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ประเทศสวีเดนที่ได้ประกาศยกเลิกใช้เงินสดเมื่อปีที่แล้ว ผลปรากฏว่า รายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นภาษี แต่ยังลดอัตราภาษีลงมาได้ เพราะเมื่อลดภาษีแล้วรายได้รัฐบาลที่ขาดหายไป ก็ไม่รู้ว่าจะหารายได้จากแหล่งใดมาชดเชย เช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมการโอนเงินของระบบธนาคารซึ่งควรจะลดลงได้จากปัจจุบัน เมื่อธุรกรรมเกิดมากขึ้น
ขณะเดียวกัน การเดินหน้าสู่สังคมเงินอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด จะช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ ที่เคยต้องเสียไปการใช้กระดาษ การใช้เช็ค การบริหารจัดการเงินสด และอื่นๆได้จำนวนมหาศาล ซึ่งเงินส่วนนี้จะกลับมาหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อีกหลายรอบ.
ทีมเศรษฐกิจ