ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05028150858&srcday=2015-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605 |
อุทยานพฤกษา
“เมย์วิสาข์”
คล้าน้ำ ใบบาน ก้านแกร่ง จากชายน้ำ…สู่สายตา
ใบเรียวบาน ก้านแดง แห่งชายน้ำ
สง่างาม นามขลัง สังฆรักษา
ชูดอกตั้ง ทั้งช่อห้อย คล้อยสายตา
รวมกอหนา นี่หรือ คือคล้าน้ำ
ชื่ออื่นๆ : พุทธรักษาน้ำ สังฆรักษา ช่อครามน้ำ (ช่อตั้ง)
ชื่อสามัญ : Thalia, Arrowroot, Bent alligator-flag, Fire-flag, Water canna
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thalia geniculata L. (ช่อห้อย) Thalia dealbata J.fraser. (ช่อตั้ง)
ชื่อวงศ์ : MARANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด : เม็กซิโก อเมริกากลางและอเมริกาใต้ แอฟริกากลาง
ข้อมูลทั่วไป :
คล้าน้ำ…ห้อยระย้าปลิวไสวเมื่อต้องลม หรือเรียกอีกหลายชื่อว่า พุทธรักษาน้ำ หรือ สังฆรักษา หรือ ช่อครามน้ำ เป็นไม้หัวที่เติบโตริมน้ำที่พบเห็นได้ทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นแถบชายน้ำของสวน หรือริมฝั่งคลอง หนอง บึงทั้งหลาย ไม้น้ำกอ และดอกสีสวยสะดุดตา สะดุดใจ และยังเป็นพันธุ์ไม้ในดวงใจของหลายๆ คน เพราะเป็นต้นไม้น้ำที่ช่วยสร้างอารมณ์ละมุนละไม ทั้งช่อดอก กิ่ง ก้านใบ พลิ้วไหวไปกับสายลมและสายน้ำ ดูแล้วชื่นตา ชื่นใจยิ่งนัก จึงนิยมปลูกประดับบริเวณริมสระน้ำหรือบ่อน้ำทั่วไป
เรียกช่อครามน้ำ คนฟังมองแล้วเห็นภาพชัดเจน เพราะช่อดอกของคล้าน้ำสีครามม่วง หรือ ม่วงคราม ส่วนที่เรียกพุทธรักษาน้ำ ก็คงเพราะดูแล้วคล้ายกอพุทธรักษาที่เติบโตในน้ำ แต่อยู่กันคนละวงศ์ พุทธรักษาอยู่ในวงศ์ CANNACEAE ส่วนคล้าน้ำ อยู่ในวงศ์ MARANTHACEAE ลักษณะประจำพืชวงศ์นี้ คือ แผ่นใบสองด้านของเส้นกลางใบไม่เท่ากัน ขณะใบยังอ่อนด้านใหญ่จะม้วนหุ้มด้านเล็กไว้ นอกจากนี้ ตรงรอยต่อของก้านใบกับแผ่นใบจะโป่งออก มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบ เวลากลางวัน ใบคล้าจะกางออก และจะห่อขึ้นในเวลากลางคืน คล้ายกับการพนมมือ จึงมีผู้เรียกชื่อพืชวงศ์นี้ว่า “Prayer Plants”
เราอาจเห็นว่า มีต้นไม้ริมน้ำหน้าตาทำนองนี้แตกต่างกันไปหลายแบบ ก็เพราะสายพันธุ์ของคล้าน้ำ หรือชื่อฝรั่งที่ไพเราะนามว่า Thalia จะมีแตกต่างกันประมาณ 12 ชนิด เป็นพันธุ์ไม้ที่ค้นพบโดย นาย Johann Thal นักพฤกษศาสตร์ ชาวเยอรมัน ใน ค.ศ. 1542-1583 ชื่อสกุล (Genus) ของไม้ชนิดนี้ จึงถูกตั้งตามนามสกุลของผู้ค้นพบ ก็คือ Thalia สำหรับในบ้านเราที่พบเห็นกันโดยทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นคล้าน้ำที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติท้องทุ่ง ท้องนาที่มีน้ำอยู่ หรือเป็นคล้าน้ำที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณริมสระน้ำตามบ้านเรือน สวนสาธารณะ จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ คล้าน้ำช่อห้อย และคล้าน้ำช่อตั้ง คล้าน้ำทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันตรงที่ คล้าน้ำช่อตั้ง เมื่อดอกแรกผลิ ช่อจะตั้งก่อน ต่อเมื่อกลีบดอกร่วงโรยแล้ว จะมีกลีบดอกใหม่ผลิออกไปเรื่อยๆ จนก้านดอกยาวขึ้น แล้วจึงห้อยย้อยลงมา ส่วนคล้าน้ำช่อห้อย ดอกจะห้อยตั้งแต่เริ่มผลิดอกเลยทีเดียว ส่วนสีของกลีบดอกมีสีม่วงคราม (อมขาว) เหมือนกัน
แม้จะมีชื่อฟังดูไทยๆ และหน้าตาก็ดูเหมือนจะเป็นไม้น้ำพื้นถิ่นบ้านเรา แต่ความจริง คล้าน้ำ มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศเม็กซิโก อเมริกาใต้ และบางประเทศในยุโรป ดังกล่าวข้างต้น มักพบตามป่าที่มีน้ำท่วมขังหรือมีดินแฉะ ค่อนข้างแข็งแรง ทนทาน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง -7 องศาเซลเซียส แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศอบอุ่น ความชื้นสูง และมีระดับน้ำสูง ตั้งแต่ 45 เซนติเมตร นอกจากทรงต้นสวยแปลกตาแล้ว ยังจะออกดอกสีม่วงสวยให้เราได้ชื่นชมกันราวช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม คือช่วงหน้าฝนนั่นเอง แต่อาจพบคล้าน้ำบางสายพันธุ์ออกดอกตลอดปี
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมปลูกกันมาก เพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ปลูก คำว่า คล้า หรือ คลุ้ม คือการปกป้อง คุ้มครอง รักษา และมีอีกหลายคนที่เชื่อว่า คล้า หมายถึง คล้าคลาด คือ การคลาดแคล้วจากศัตรู หรือเรื่องร้ายๆ ดังนั้น คนไทยจึงปลูกต้นคล้าเอาไว้ในบริเวณบ้านมาตั้งแต่โบราณ เพราะเชื่อว่า การปลูกต้นคล้านั้น จะช่วยให้ทุกคนในครอบครัวรอดพ้นจากเรื่องราวร้ายๆ ได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์กาย หรือทุกข์ใจ และคนโบราณนิยมเรียกต้นคล้าน้ำ ว่า พุทธรักษาน้ำ ซึ่งหมายความว่า มีพระพุทธเจ้าคอยปกป้องรักษาอีกชั้นหนึ่ง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ลำต้น เป็นพรรณไม้ที่มีหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน การเจริญเติบโตของลำต้นแตกเป็นกอ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นเป็นไม้อวบน้ำ
ใบ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกใบเป็นกาบหุ้มลำต้นสลับกัน และมีก้านใบต่อกับแผ่นใบ ใบมีลักษณะคล้ายรูปไข่ แกมรี ปลายใบเว้าหรือแหลม หลังใบมีสีขาวนวล ก้านใบกลม ขนาดใบ สีสัน และลักษณะใบจะแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์ ที่พบเห็นโดยทั่วๆ ไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ คล้าน้ำช่อห้อย ซึ่งจะพบเห็นโดยทั่วไปมี 2 ชนิด คือแบบก้านแดง และก้านสีเขียว
ดอก สีม่วงอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงจากกอ ก้านช่อดอกกลม เรียวยาว แข็ง ปลายก้านแตกแขนงย่อยหลายแขนง ห้อยเป็นระย้า โคนก้านช่อดอกมีใบประดับ ดอกย่อยไม่มีก้านดอก เกิดเป็นคู่ เรียงกันบนแขนงย่อย มีใบประดับ 2 ใบ หุ้มดอกตอนอ่อน ดอกย่อยประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ ส่วนอีกชนิดคือ คล้าน้ำช่อตั้ง ดอกจะออกเป็นช่อแบบดอกรวม ก้านช่อดอกเป็นสีเขียว เป็นเส้นต่อกัน เป็นเส้นแซ่เหมือนไม้ขนไก่ กลมเรียว แข็งเป็นช่อพองตั้งขึ้นปลิวไสวเมื่อต้องลม ดอกเป็นช่อสีม่วงเข้มสวยสะดุดตา ดอกจะทยอยบานจากล่างไปหาบน ดอกบานตลอดปี
ผล รูปกลมรี สีน้ำตาล
การขยายพันธุ์ แยกกอหรือเหง้าที่โตเต็มที่ไปปลูก
สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การเจริญเติบโต ชอบขึ้นในดินเหนียวที่ชุ่มชื้น และมีอินทรียวัตถุสูง จนถึงน้ำลึก 25-40 เซนติเมตร ความชื้นสูง ต้องการแสงแดดร่มรำไรจนถึงแดดจัด หรือกลางแจ้ง โดยปลูกลงดินในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณสวน หรือปลูกเป็นไม้กระถาง ซึ่งกระถางควรใช้กระถางทรงสูง และควรเปลี่ยนขนาดกระถาง 1-2 ปี ต่อครั้ง เพราะการขยายตัวของรากและการแตกกอแน่น และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพ ถ้าปลูกเพื่อประดับภายในอาคาร ควรให้ได้รับแสงแดดบ้าง อย่างน้อย 3-5 วัน ต่อครั้ง
สรรพคุณทางสมุนไพร ไม่พบรายงานการมีสรรพคุณทางสมุนไพรแต่เพียงอย่างใด