ชุมชน “ลีเล็ด” ฟื้นป่าชายเลน แหล่งเกิดหอยแครง อ่าวบ้านดอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05085150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

เทคโนโลยีการประมง

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com

ชุมชน “ลีเล็ด” ฟื้นป่าชายเลน แหล่งเกิดหอยแครง อ่าวบ้านดอน

“เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ ชักพระประเพณี” ขึ้นต้นด้วยประโยคนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเดาออกแล้วว่า หมายถึง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกของบ้านเรา

วันก่อน เรือโทภัทรชัย ขันธหิรัญ เลขานุการกรมการปกครอง นำคณะสื่อมวลชนจากส่วนกลางหลายสิบชีวิตไปศึกษาดูงานในพื้นที่ต่างๆ ของเมืองคนดีแห่งนี้ เพื่อไปดูความเข้มแข็งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ซึ่งแต่ละจุดมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป อย่างจุดแรกไปกันที่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านปากคลองน้อย หมู่ที่ 5 ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ยึดหลักคุณธรรม

ที่นี่แม้จะมีประชากรแค่ 500 กว่าคน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่ามีเงินสัจจะหมุนเวียนถึง 24 ล้านบาท ถือเป็นหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จในการออมทรัพย์ ซึ่งสมาชิกมีทั้งฝากและกู้ โดยส่วนใหญ่นำเงินกู้ไปใช้ในเรื่องการเกษตรและการทำอาชีพต่างๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร กลุ่มเพาะเห็ด กลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านพักโฮมสเตย์ การเลี้ยงหมูหลุม และกลุ่มใบตอง ฯลฯ พอได้เงินมาก็นำไปใช้หนี้ เรียกว่ากู้ไปเพื่อต่อยอดธุรกิจ ไม่ได้กู้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือหรือของฟุ่มเฟือยอะไร

คุณนพดล บุญช้าง ประธานกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคลองน้อย เล่าให้ฟังว่า กลุ่มออมทรัพย์แห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2534 มาจากกลุ่มสัจจะ สมาชิกเริ่มแรกมี 51 คน เงินสะสม 5,900 บาท ถึงปัจจุบันมีสมาชิก 585 คน มียอดเงินสัจจะสะสม 24 ล้านบาท และตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ก็ได้รับรางวัลต่างๆ หลายรางวัล อาทิ รางวัลกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตดีเด่น ระดับจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปีนี้ได้เกียรติบัตรผ่านเกณฑ์หมู่บ้านรักษาศีล 5 และได้รางวัลชนะเลิศโครงการคัดเลือกหมู่บ้านดีเด่น (บ้านสวย เมืองสุข) ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับเขต

ประธานกลุ่มออมทรัพย์แห่งนี้ บอกอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มออมทรัพย์ประสบความสำเร็จเพราะสมาชิกและกรรมการ รวมทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านยึดหลักคุณธรรม 5 ประการ คือ ความซื่อสัตย์ ความเสียสละเพื่อส่วนรวม รับผิดชอบร่วมกัน เห็นอกเห็นใจ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังเน้นการมีส่วนร่วมและปลุกจิตสำนึกของสมาชิก ซึ่งในแต่ละปีทางกลุ่มออมทรัพย์จะจัดสวัสดิการให้สมาชิกหลายรูปแบบ

วันที่ไปนั้น ทางกลุ่มอาชีพต่างๆ ได้นำผลิตภัณฑ์มาโชว์ มาขายด้วย อย่างเช่น ผักปลอดสารพิษ ผลไม้ ทั้งเงาะ มังคุด และผลไม้พื้นเมือง อย่าง ม่วงมุด ที่ใช้แกงส้ม หรือกินผลดิบหรือสุกก็ได้ ผลิตภัณฑ์จักสาน ที่ทำเป็นตะกร้า กระจาดใส่ของ ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าว รวมทั้งขนมตาลและขนมจาก เสียดายช่วงนั้นกระท้อนยังไม่แก่จัด พวกเราเลยอดกินกระท้อนที่เขาว่ากันว่าอร่อยนักอร่อยหนา และเป็นผลไม้ที่ทำได้หลากหลายเมนู

ต้นแบบหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

เรือโทภัทรชัย ให้ข้อมูลว่า บ้านปากคลองน้อย เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบที่ใช้แนวทางตามพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเน้นให้หมู่บ้านพึ่งพาตัวเอง และถ้ามีผลผลิตเหลือก็ให้นำไปขาย กรมการปกครองเองก็มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องนี้อยู่แล้ว และมีหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงกระจายอยู่ทั่วประเทศ

จุดเด่นของหมู่บ้านนี้คือ การดำเนินงานของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคลองน้อย ซึ่งปัจจุบันมียอดเงินสัจจะสะสมจำนวน 24 ล้านบาท นับว่าเป็นเงินหมุนเวียนไม่ใช่น้อยเลย ถือว่าเป็นความร่วมมืออย่างดีระหว่างคณะกรรมการหมู่บ้าน ชาวบ้าน และหน่วยราชการต่างๆ ในพื้นที่ที่ช่วยเป็นพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำต่างๆ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเกิดจากความสามัคคีกัน

ขณะที่ คุณสุริยัณห์ จิรสัตย์สุนทร นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ระบุว่า กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคลองน้อยมาจากกลุ่มสัจจะ และแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็มีศักยภาพ และผู้นำหมู่บ้านแต่ละยุคก็สืบทอดกันมา โดยเฉพาะในเรื่องความซื่อสัตย์ ซึ่งการจะนำไปเป็นแบบอย่างให้หมู่บ้านใดทำตามก็ต้องดูความพร้อมด้วย เนื่องจากเรื่องเงินเป็นเรื่องที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเบี่ยงเบน

นับเป็นหมู่บ้านตัวอย่างจริงๆ เพราะชาวบ้านมีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างดี เนื่องจากแต่ละครัวเรือนยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเน้นการพึ่งตัวเอง ซึ่งแต่ละบ้านจะปลูกพืชผักสวนครัวและผลไม้ไว้ บางบ้านเหลือกินก็เก็บไปขาย

เลี้ยงหอยแครง ได้ปีละ 11 ล้าน

อีกจุดหนึ่งที่คณะสื่อฯ ไปกันคือ ศูนย์ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ตำบลลีเล็ด อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปดูความเข้มแข็งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จุดนี้พวกเราต่างสนุกสนานกันใหญ่ เพราะหลังจากฟังการบรรยายของ คุณประเสริฐ ธัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ด เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นั่งเรือหางยาวล่องไปในป่าชายเลนของหมู่บ้าน ออกไปยังอ่าวบ้านดอน ซึ่งเป็นแหล่งที่หอยแครงเกิดเองโดยธรรมชาติ เนื่องจากเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นจุดที่น้ำทะเลและน้ำจืดไหลมาบรรจบกันพอดี

คุณประเสริฐ ในฐานะผู้นำคนสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลนแห่งนี้ เล่าว่า เมื่อ 10 กว่าปีก่อน พื้นที่ของตำบลลีเล็ด ซึ่งติดกับทะเล อันเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวบ้านดอน มีปัญหาเรื่องการบุกรุกป่าชายเลน ทำประมงผิดกฎหมายและการปล่อยน้ำเสียจากการเลี้ยงกุ้งลงสู่ทะเล ดังนั้น จึงมีการรวมกลุ่มกันในปี 2545 ตั้งเป็นคณะกรรมการ 45 คน จาก 8 หมู่บ้าน เพื่อออกตรวจตราไม่ให้คนตัดไม้ทำลายป่า และไม่ให้ใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย โดยมีเรือตรวจการณ์ และออกมาตรการข้อบังคับต่างๆ เพื่อรักษาผืนป่าชายเลนและทรัพยากรที่มีอยู่

คณะกรรมการทั้งหมดของหมู่บ้าน แยกเป็นหลายชุดและมีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น มีคณะกรรมการชุมชนประมงต้นแบบ คณะกรรมการหมู่บ้านทุกส่วน คณะกรรมการดูแลป่าชายเลน สภาเด็กและเยาวชน สภาที่ปรึกษาการจัดการทรัพยากร ฯลฯ ซึ่งผลจากความร่วมมือร่วมใจดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าชายเลน หรือป่าอนุรักษ์เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 8,000 ไร่

จากเดิมในปี 2534 มีป่าชายเลนเหลืออยู่เพียง 3,400 ไร่ และปี 2548 มี 5,085 ไร่ ซึ่งเป็นผืนป่าที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปี 2549-2550 รวมทั้งยังมีทรัพยากรทางน้ำเกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งกุ้ง หอย ปู และปลา และยังเป็นแหล่งเกิดหอยแครงในอ่าวบ้านดอนอีกด้วย โดยที่ผ่านมาเกษตรกรบางคนมีรายได้จากการเลี้ยงและขายหอยแครงในปีหนึ่งถึง 11 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกลุ่มชุมชนลีเล็ดนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ เมื่อปี 2547 โดยหวังให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นเครื่องมือ เป็นกุศโลบายในการอนุรักษ์ทรัพยากร แต่ปรากฏว่าสามารถจัดการการท่องเที่ยวได้ดีจนได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรางวัล เช่น มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย อีกรางวัลที่ยิ่งใหญ่คือ รางวัลกินรีทองคำ ประเภทการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รางวัลที่ 1 ระดับประเทศ ปี 2551 และปี 2553 ได้รับรางวัลการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ ในระดับประเทศ ซึ่งมีมูลนิธิอุทกพัฒน์เข้ามาดูแลหมู่บ้านด้วย อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเที่ยวที่ป่าชายเลนแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ

“ปัจจุบัน บ้านลีเล็ด สามารถทำให้คนที่นี่เข้ามามีส่วนร่วม ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมคือกลุ่มต่างๆ ในชุมชนที่จะช่วยกันทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องมาตลอด อีกอย่างเรื่องทรัพยากร เรามีป่าเพิ่มขึ้น เรียกว่า ป่ารุกทะเล โดยเฉพาะเมื่อปี 2549-2550 ที่นี่มีชื่อเสียงมากเรื่องของป่ารุกทะเล เนื่องจากป่าเกิดรุกไปในทะเลทุกปี ทำให้มีสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจับสัตว์น้ำ” คุณประเสริฐ กล่าวและว่า สิ่งที่ชาวลีเล็ดภูมิใจมากคือ คนของหมู่บ้าน จากที่เคยทำลาย เคยตัดไม้ทำลายป่า เคยใช้อุปกรณ์ประมงผิดกฎหมาย ได้กลับตัวกลับใจแล้วมาร่วมกันเป็นอาสาสมัคร อนุรักษ์สัตว์น้ำ และเป็นสมาชิกของกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน นี่คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ และป่าชายเลนของลีเล็ดถือเป็นมหาวิทยาลัยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่

พืช-สัตว์ อุดมสมบูรณ์

วันนี้แม้ว่าป่าชายเลนของหมู่บ้านลีเล็ดจะไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังก้องโลก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวและนักเรียน นักศึกษา มาใช้บริการกันตลอด ซึ่งชาวบ้านต่างชอบอกชอบใจ เพราะทำให้พวกเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญที่แต่ละคนมี ไม่ว่าจะเป็นการทำขนมจาก การเย็บจากทำหลังคา การทำกะปิ การทำใบยาสูบ รวมถึงการเล่นลิเกป่า และรำมโนราห์

อย่างที่บอกไป ที่นี่ได้รับรางวัลด้านการท่องเที่ยวและอนุรักษ์ธรรมชาติมากมายหลายรางวัล ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ ชาวบ้านต่างร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาผืนป่าแห่งนี้ จนความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา โดยผู้มาเยือนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาตัวเอง ช่วงล่องเรือจะได้เห็นต้นไม้หลากหลายชนิด อาทิ ลำพู โกงกาง แสม ถั่ว ลำพูหิน ตะบูน ส่วนจำพวกสัตว์ ก็มี ลิงแสม นกกระยาง นกกะปูด หิ่งห้อย งู ผึ้ง ต่อ ปูทะเล ปูเปี้ยว หอยจุ๊บแจง หอยกัน ฯลฯ ซึ่งล้วนแสดงถึงระบบนิเวศวิทยาที่ไม่ถูกมนุษย์ทำลายเหมือนสมัยก่อน

หลังพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า หากนั่งล่องเรือไป ก็จะได้เรียนรู้วัฏจักรชีวิตของหิ่งห้อย และถ้ามีเวลาก็ทำประโยชน์ให้กับสังคมโดยการร่วมกันปลูกป่าชายเลน และยังสามารถร่วมออกหาปลา ถีบกระดาน จับปู กับชาวประมง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้บริการโฮมสเตย์ของบ้านลีเล็ดได้อีกด้วย ซึ่งจะได้กินอาหารท้องถิ่นต่างๆ ที่พวกเขาปลูกและหาได้ในผืนป่าและท้องน้ำแห่งนี้ ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ส่วนผักพื้นบ้าน เช่น นกจาก ลูกจากอ่อน ลูกเถาคัน ลูกลำแพน ดอกลำพู เหม่งมะพร้าว ฯลฯ

ว่าไปแล้วที่นี่ใช่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่ผลิตภัณฑ์ชุมชนก็มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์จากก้านจาก โดยทำเป็น เสวียนหม้อ กรอบรูป จานรองแก้ว ถาด กระเช้า หรือ กะปิ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอยกัน เช่น โมบาย ฯลฯ

อ่านถึงตรงนี้ สนใจอยากจะไปเที่ยวอย่างมีสาระและช่วยลดโลกร้อน ติดต่อ คุณประเสริฐ ธัญจุกรณ์ ได้ที่ โทร. (081) 271-0017 หรือสอบถามกับ คุณศิริพงษ์ เวชสุวรรณ์ โทร. (089) 970-4838

Leave a comment