ตามไปดู “บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ” ของชาวนาอำเภอระโนด สงขลา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05036150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

เทคโนโลยีการเกษตร

สาวบางแค

ตามไปดู “บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ” ของชาวนาอำเภอระโนด สงขลา

ในฉบับนี้ ขอพาไปเยี่ยมชมวิถีชาวนาในพื้นที่บ้านหนองถ้วย หมู่ที่ 2 ตำบลตะเครียะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ที่น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ปฏิบัติจนนำไปสู่การเป็น “บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ” ที่มีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็งพึ่งพาตนเองและเป็นตัวอย่างให้ผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคนและหมู่บ้านของตัวเองต่อไป

ผู้เขียนมีโอกาสพูดคุยกับแกนนำของหมู่บ้านหนองถ้วย คือ คุณไพฑูรย์ หนูจีน หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “ผู้ใหญ่บ่าว” ทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 อาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 151/2 หมู่ที่ 2 ตำบลตะเครียะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โทร. (083) 193-5747

ผู้ใหญ่บ่าว บอกว่า ชาวบ้านในชุมชนได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ ปรับทัศนคติ การดำเนินชีวิต แก้ไขปัญหา พัฒนาตนเอง และชุมชนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ปลูกพืชผักปลอดสารพิษไว้บริโภคในครัวเรือน เพื่อลดค่าใช้จ่าย ส่วนที่เหลือจากการบริโภคจึงค่อยนำไปขาย หมู่บ้านหนองถ้วยมีเกษตรกรทำนา ประมาณ 4,000 กว่าไร่ ผู้ใหญ่บ่าวได้รวมกลุ่มเกษตรกรในชื่อ “กลุ่มผลิตข้าวบ้านหนองถ้วย” พร้อมจัดหาเครื่องสีแปรรูปข้าวสำหรับชุมชน รวมกันซื้อปุ๋ย ช่วยลดต้นทุนการผลิต และรวมกันขายข้าว เพิ่มอำนาจต่อรองการขาย จัดทำบัญชีครัวเรือน จัดเวทีประชาคม เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น

โครงการ “นาข้าวปลอดภัย”

ผู้ใหญ่บ่าว มีอาชีพทำนาปลูกข้าวมาตลอดชีวิต ก่อนหน้านี้ เขาปลูกข้าวขาวทั่วไป เพื่อขายโรงสี จนกระทั่ง ปี 2556 เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เมื่อเขาเข้าร่วมโครงการ “1 ไร่ 1 แสน” และขยายผลเป็น “โครงการนาข้าวปลอดภัย” เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคข้าวที่ปลอดภัยต่อชีวิต

ผู้ใหญ่บ่าว เลือกปลูกข้าวที่อยู่ในกระแสความนิยมของตลาด เช่น พันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ พันธุ์ข้าวหอมนิล รวมทั้งข้าวพันธุ์ปทุมทอง ซึ่งได้สายพันธุ์มาจากจังหวัดเพชรบุรี ข้าวชนิดนี้เป็นข้าวพันธุ์ลูกผสมระหว่างข้าวหอมมะลิและข้าวหอมปทุม ลักษณะทั่วไปเป็นข้าวขาว เนื้อนิ่ม คล้ายกับข้าวหอมมะลิ ปลูกได้ทั้งนาปรังและนาปี ใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ประมาณ 120 วัน หลังแปรรูปนำข้าวมาบรรจุถุงขาย ในราคากิโลกรัมละ 35 บาท

ผู้ใหญ่บ่าว บอกว่า ชุมชนแห่งนี้ เกษตรกรสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง เนื่องจากมีระบบน้ำชลประทานทุ่งระโนดเข้าถึงทุกไร่นา ฤดูนาปี สำหรับพื้นที่ดอนจะเริ่มปลูกในเดือนตุลาคม ส่วนพื้นที่ลุ่มจะปลูกในเดือนธันวาคม ส่วนนาปรังจะนิยมปลูกในเดือนพฤษภาคม-กันยายน ที่ผ่านมา การปลูกข้าวส่วนใหญ่ใช้สารเคมีล้วนๆ ทั้งสารเคมีกำจัดวัชพืช สารเคมีปราบศัตรูพืช สารเคมีกำจัดโรคพืช เสี่ยงเจอปัญหาสารเคมีตกค้างในข้าวได้ง่าย

ผู้ใหญ่บ่าวได้ชักชวนเพื่อนเกษตรกรหันมาเข้าร่วมโครงการนาข้าวปลอดภัย สามารถใช้ปุ๋ยเคมีได้ตามปกติ แต่จะไม่ใช้สารเคมีใดๆ ในนาข้าวอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้มีสารเคมีตกค้างในนาข้าว เพื่อลดปัญหาโรคและแมลงในแปลงนา ผู้ใหญ่บ่าวชักชวนเพื่อนเกษตรกรหันมาปลูกข้าวในลักษณะนาดำ ตามรอยปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อประหยัดเมล็ดพันธุ์ แค่ไร่ละ 5 กิโลกรัม ลดปัญหาการแพร่ระบาดของแมลงศัตรูพืชในแปลงนา เพราะแสงแดดสามารถส่องได้ถึงผืนนา หลังเก็บเกี่ยวก็นำข้าวมาแปรรูปและบรรจุใส่ถุงสุญญากาศ นำออกขายตรงกับผู้ซื้อ ทำให้สามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูงกว่าเดิม

“ฟางข้าว” มีค่าดั่งทอง

ผู้ใหญ่บ่าว ส่งเสริมการปลูกข้าวปลอดภัยให้แก่เกษตรกรในท้องถิ่นแล้ว เขายังรณรงค์ “หยุดการเผาตอซังข้าว” เพื่อป้องกันปัญหามลพิษในผืนนา และลดปัญหาโลกร้อนควบคู่กันไป ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่แห่งนี้ นอกจากมีรายได้จากการขายข้าวแล้ว พวกเขายังมีรายได้เสริมจากการขาย “ฟางอัดก้อน” ในราคาก้อนละ 3 บาท

ผู้ใหญ่บ่าวระดมเงินทุนจากเพื่อนเกษตรกร คนละ 5,000 บาท และหมู่บ้านถือหุ้นอีก 70,000 บาท เพื่อนำเงินมากว้านซื้อฟางอัดก้อนจากเกษตรกรในท้องถิ่นเก็บสำรองไว้ เพื่อสำรองในตอนภัยแล้งหรือน้ำท่วม ปี 2557 ทางกลุ่มใช้เงินลงทุน 70,000 บาท ซื้อฟางอัดก้อน จำนวน 3,600 ก้อน ก็ขายให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์จนหมดเกลี้ยง หลังหักต้นทุนแล้ว ยังเหลือผลกำไร ประมาณ 65,000 บาท

ใช้จุลินทรีย์

กำจัดข้าววัชพืช

ปัญหาอุปสรรคของการทำนาในท้องถิ่นคือ มีเมล็ดพันธุ์ข้าววัชพืชสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่ปลูกข้าวนาปี เพราะข้าววัชพืชที่ปะปนอยู่ในแปลงข้าวจะทำให้คุณภาพข้าวต่ำลงและถูกโรงสีกดราคารับซื้อ จึงนำจุลินทรีย์สูตรธรรมชาติเข้มข้นมาใช้ย่อยสลายข้าววัชพืช เห็นผลภายใน 7 วัน ลดการก่อมลพิษ และลดปัญหาโลกร้อนจากการเผาซังข้าว

วิธีการกำจัดข้าววัชพืชก็แสนง่าย หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ให้ปล่อยน้ำเข้าพื้นที่นาจนท่วมตอซังและฟางข้าว ไถหรือเหยียบตอซังข้าวให้จมน้ำ จากนั้นนำผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ผสมน้ำ 20 ลิตร ใส่ถังฉีดพ่น ในแปลงนาขนาด 1 ไร่ จนทั่วแปลง เชื้อจุลินทรีย์จะทำให้เมล็ดข้าวดีดเน่า พร้อมย่อยสลายตอซัง ฟางข้าว จนเปื่อยยุ่ยภายใน 5-7 วัน ช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในเนื้อดิน ขั้นตอนต่อมาปล่อยน้ำเข้านา และเริ่มเพาะปลูกข้าวตามปกติ หลังจากเชื้อจุลินทรีย์ย่อยสลายเปลือกข้าววัชพืช ตอซังและฟางข้าวแล้ว เชื้อจุลินทรีย์จะสลายตัวตามธรรมชาติ ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการงอกของเมล็ดข้าวสำหรับปลูกในฤดูถัดไป

ฝากข้อคิด

ถึงเพื่อนเกษตรกร

คุณถาวร แซ่อิ้ว ประธานชมรมนาข้าวจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ปลูกข้าวในคาบสมุทรสทิงพระ (อำเภอระโนด อำเภอสิงหนคร อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ) มีพื้นที่ปลูกข้าว จำนวน 300,000 ไร่ เดิมเคยปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมือง เช่น ข้าวเล็บนก แต่ระยะหลังชาวนาหันมาปลูกข้าวเชิงการค้าที่ให้ผลผลิตสูงในระยะเวลาสั้น โดยซื้อพันธุ์ข้าวจากเอกชน ซื้อปัจจัยการผลิต ทั้งปุ๋ย ยา สารเคมี ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะชาวนาที่อยู่นอกเขตชลประทานในพื้นที่อำเภอระโนด มีต้นทุนการผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่สูงถึง 7,200 บาท ต่อไร่

หากสถานการณ์ราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ต่ำเหมือนในขณะนี้ ชาวนาคงอยู่ไม่ได้แน่นอน ทั้งนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา มีนโยบายส่งเสริมให้ชาวนาหันมาปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองคุณภาพดี เพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและรายได้ให้มีความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ ปัญหาข้าววัชพืช ข้าวดีด ข้าวเด้ง เริ่มระบาดในพื้นที่ปลูกข้าวภาคใต้มากขึ้น เพราะมีข้าววัชพืชติดมากับรถเกี่ยวข้าว และคุณภาพข้าวปลูกที่ไม่ได้มาตรฐาน แนวทางแก้ไขปัญหาที่ง่ายและรวดเร็วคือ การใช้เชื้อจุลินทรีย์ฉีดพ่น เพื่อย่อยสลายข้าววัชพืช เห็นผลภายใน 7 วัน

อนุรักษ์พันธุ์ข้าว

พื้นเมืองภาคใต้

ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวปัตตานี ได้เปิดบริการคลินิกข้าว ให้ความรู้ และคำปรึกษาเรื่องข้าว ในงานวันเกษตรตำบลแดนสงวน ประจำปี 2558 ณ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ภายในงานดังกล่าว ศูนย์วิจัยข้าวปัตตานีได้จัดแสดงตัวอย่างพันธุ์ข้าวยอดนิยม ในพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ข้าวพันธุ์ซีบูกันตัง ข้าวพันธุ์หอมกระดังงา

คุณจำเนียร เจียมสวัสดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวปัตตานี เล่าว่า จากการสำรวจข้อมูลพื้นที่และความต้องการพันธุ์ข้าวของเกษตรกร พบว่าส่วนใหญ่มีความต้องการใช้พันธุ์ข้าวพื้นเมืองถึง 75 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะ ข้าวซีบูกันตัง ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวยอดนิยม ในพื้นที่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ข้าวสุกร่วน แข็งปานกลาง นิยมบริโภคในรูปข้าวสวย ปลูกได้ดีทั้งในฤดูนาปีและนาปรัง เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 135-140 วัน ผลผลิตเฉลี่ย 557 กิโลกรัม ต่อไร่ ข้าวซีบูกันตัง ได้รับความนิยมจนผลผลิตไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย ข้าวพันธุ์นี้กำลังอยู่ระหว่างการยื่นขอจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา

ส่วนข้าวพันธุ์หอมกระดังงา เป็นข้าวพื้นเมืองดั่งเดิมของตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มีลักษณะพิเศษคือ มีสีแดง นุ่ม และมีกลิ่นหอมคล้ายดอกกระดังงา เหมาะแก่การแปรรูปเป็นข้าวกล้องและซ้อมมือ ผลผลิต เฉลี่ย 501 กิโลกรัม ต่อไร่ ในสมัยอดีตชาวนามักนิยมปลูกเพื่อนำไปถวายพระสงฆ์ในโอกาสสำคัญต่างๆ และใช้หุงข้าวรับแขกบ้านแขกเมือง

นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ข้าวอัลฮัมสตูล หรือข้าวอัลฮัมดุลิลละฮฺ ในภาษามลายู แปลว่า ขอบคุณพระเจ้า เป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในตำบลเกตรี อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ข้าวอัลฮัมสตูล ที่มีลักษณะเด่นคือ เป็นข้าวขาวที่มีรสชาติหวานมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นพันธุ์ข้าวไวแสง ที่ปลูกง่าย ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช ทนต่อความเป็นกรดของดินในพื้นที่ภาคใต้ได้ดี ผลผลิตเฉลี่ย ประมาณ ไร่ละ 15-40 ถัง

ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยข้าวปัตตานี ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวปลอดสารพิษ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรมีการปรับปรุงคุณภาพดินและขยายพื้นที่เพาะปลูกให้มีผลผลิตข้าวเพียงพอกับการบริโภคในพื้นที่ และยังจะช่วยฟื้นฟูพื้นที่นาให้สามารถผลิตข้าวได้ปริมาณมากขึ้น และเพิ่มมูลค่าข้าวของเกษตรกรให้สูงขึ้นอีกด้วย โดยเกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป อย่างน้อย 20% เกิดความมั่นคงทางด้านอาหารแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคในพื้นที่ เกษตรกรผู้ผลิตข้าวในพื้นที่สามารถผลิตข้าวได้อย่างถูกต้อง และสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่เกษตรกรและชุมชน

Leave a comment