ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05092150858&srcday=2015-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605 |
คิดเป็นเทคโนฯ
ณัชชา เต็นภูษา
สู้ภัยแล้ง ด้วยแสงอาทิตย์
“เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม” นี่คือคำขวัญที่แสดงถึงจุดเด่นของจังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบัน จังหวัดบุรีรัมย์แบ่งการปกครองออกเป็น 23 อำเภอ 188 ตำบล 2,546 หมู่บ้าน ครัวเรือนทั้งหมด 329,515 ครัวเรือน เป็นครัวเรือนเกษตรกรมากถึง 238,087 ครัวเรือน ที่นี่มีแหล่งน้ำชลประทานน้อยมาก จึงเพาะปลูกพืชไม่ได้ในช่วงหน้าแล้ง ทำให้เกษตรกรขาดแคลนรายได้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้น รัฐบาลจึงจัดทำโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อปรับปรุงแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของชุมชน และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการจัดการเพื่อลดความสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร
เป้าหมายเพื่อบรรเทาภัยแล้งจังหวัดบุรีรัมย์ ใน 180 ตำบล รวมทั้งสิ้น 343 โครงการ วงเงินรวม 178.9 ล้านบาท (ค่าวัสดุ 91,036 ล้านบาท ค่าจ้างแรงงาน 86.7 ล้านบาท) ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้แก่เกษตรกรผู้ใช้แรงงานทั้งจังหวัด 37,399 คน ครัวเรือนที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการ 133,456 ครัวเรือน ในปัจจุบันมีการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วเป็นเงิน 170,000,000 บาท (ร้อยละ 95) งบประมาณคงเหลือในการบริหารโครงการ เป็นเงิน 8,900,000 บาท (ร้อยละ 5)
ระบบส่งน้ำเพื่อการเกษตรด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
คุณโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จ โดยชุมชนเป็นผู้กำหนดกิจกรรมการเกษตรที่สอดคล้องกับความต้องการของคนโดยชุมชนเอง เราได้รับโจทย์มาจากภาครัฐว่าให้เกิดการเตรียมการก่อนเกิดภัย เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านลงทุนปลูกพืชในหน้าแล้งแล้วขาดทุน ก็จะไปเบิกเงินส่วนหนึ่งมา งบประมาณที่ภาครัฐต้องเสียมีมูลค่าเป็นพันล้าน จึงดีกว่าถ้าหากเรานำเงินส่วนนั้น มาเตรียมการเพื่อแก้ไขปัญหาก่อน ดังนั้น งบประมาณที่นำมาให้เป็นในด้านของการเตรียมการที่จะทำอย่างไร ให้ชาวบ้านมีรายได้ในหน้าแล้ง ส่วนขั้นตอนในการเบิกจ่ายเงินในโครงการได้ดำเนินการอย่างรัดกุม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ผลที่ได้จากโครงการก็เป็นที่น่าพึงพอใจ
คุณเสรี ศรีหะไตร ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำเนินงาน โดยใช้ธรรมนูญหมู่บ้าน/ชุมชนเมือง 9 ดี เป็นแนวทาง ให้เกิดความโปร่งใสในทุกกรณี ทุกโครงการเกิดจากความต้องการของชุมชน ทุกคนจึงช่วยกันดำเนินโครงการอย่างเต็มความสามารถ และมีการตั้งกลุ่ม กม. น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสืบสานการดูแลรักษาโครงการของชุมชนต่อไปนั่นเอง
แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของชุมชน
เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตาม “คุณโอฬาร พิทักษ์” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้ากิจกรรมการจัดหาแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำเพื่อการเกษตร ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง (ตำบลละ 1 ล้าน) ภายใต้การดำเนินงานของกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากภัยแล้งในระยะยาว ตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
โครงการ “จัดหาแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำเพื่อการเกษตร ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” ซึ่งเป็นโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชน ของชาวบ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งกิจกรรมการจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของชุมชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์มีทั้งสิ้น 140 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่ 21 อำเภอ จำนวน 80 ตำบล วงเงิน 66.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.32 รองรับพื้นที่การเกษตรกว่า 18,000 ไร่
คุณประยูร สุภาใส นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ชุมแสง อำเภอกระสัง กล่าวว่า ในการดำเนินการ ชาวบ้านได้ร่วมกันขุดคลองส่งน้ำ ระยะทาง 960 เมตร เพื่อระบายน้ำจากแหล่งน้ำ ไปยังพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งต้นน้ำดังกล่าวมาจากการทำฝายกั้นน้ำในแม่น้ำ เป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ทางกลุ่มชาวบ้านได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อสูบน้ำขึ้นมาใช้อีกด้วย
การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ ชาวบ้านจะได้รับค่าแรงจากการร่วมทำกิจกรรมแล้ว ประโยชน์ในระยะยาวคือ ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งได้อย่างยั่งยืน มีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการเพาะปลูกข้าวและพืชผัก ช่วยสร้างรายได้จากการขายข้าวและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว และในอนาคต ชาวบ้านวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องสูบน้ำเพื่อจะนำน้ำมาใช้ประโยชน์ในการทำเกษตรกรรมได้มากขึ้น
กลุ่มเกษตรผู้ใช้น้ำเพื่อการเกษตรบ้านหัวช้าง
คุณทองมาก หอมจันทร์ กรรมการหมู่บ้าน หมู่ที่ 10 และเป็นสมาชิกศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีประจำตำบล (ศบกต.) กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยสร้างผลดีต่อชาวบ้านและชุมชนอย่างมาก เพราะทำให้ตนและชาวบ้านมีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการเพาะปลูกได้มากขึ้น มีผลผลิตนำไปจำหน่ายได้มากขึ้น จากเดิมที่เคยขาดแคลนรายได้ในช่วงหน้าแล้ง เพราะชาวบ้านไม่มีเงินทุนไปซื้อเครื่องสูบน้ำใช้เองได้ เพราะเครื่องสูบน้ำมีราคาค่อนข้างสูง เมื่อนำเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ร่วมกัน ช่วยประหยัดเงินแล้ว ยังลดปัญหามลภาวะ เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
เวลาในการเปิดน้ำ ที่นี่จะเปิดครั้งละ 2-3 ชั่วโมง โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านช่วยควบคุมดูแล และชาวบ้านก็เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล เช่น การจัดเวรยามเฝ้าระวังการสูญหาย เพราะเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของชุมชน โครงการนี้ยังทำให้ชาวบ้านเกิดความสมัครสมานสามัคคี เกิดความปรองดองกันภายในชุมชนมากขึ้น เพราะได้ทำงานร่วมกัน ซึ่งทุกโครงการจะเห็นว่าชุมชนและเกษตรกรได้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า นอกจากช่วยให้ชุมชนได้รับประโยชน์โดยตรงจากการจ้างงานแล้ว และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นอีกด้วย