จับตาแก้เกมประชามติ ชี้ชะตาร่างรธน.-คสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มกราคม 2559 เวลา 20:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/412254

จับตาแก้เกมประชามติ ชี้ชะตาร่างรธน.-คสช.

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ความชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เป็นอีกหนึ่งประเด็นทางการเมืองที่ยังคงคาราคาซังมาถึงปัจจุบัน เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สงวนท่าทีต่อเรื่องนี้อยู่พอสมควร

ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะมือกฎหมายของรัฐบาล แย้มว่าอาจต้องมีการหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ภายหลังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เริ่มเปิดเผยร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกออกมาบางส่วนแล้ว

“อาจต้องมีการพูดคุยกันบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องขยับอะไรเป็นทางการ เดี๋ยวจะแตกตื่นว่า รัฐบาล คสช.กลัวร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ เราไม่อยากให้เกิดภาพความรู้สึกแบบนั้นในสังคม” วิษณุ ระบุ

จากคำพูดดังกล่าวของรองนายกฯ วิษณุ ทำให้ประเมินได้ในระดับหนึ่งว่า คสช.และ ครม.น่าจะเสนอร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ในช่วงต้นเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ กรธ.ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการแล้ว

สาเหตุที่ ครม.และ คสช.อาจจะเลือกเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงดังกล่าว เนื่องจากต้องการดูกระแสสังคมว่าจะมีความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ กรธ.ดำเนินการอย่างไร เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ครอบคลุมใน 3 ประเด็นใหญ่ที่สำคัญ ดังนี้

1.คะแนนเสียงชี้ขาดประชามติ เดิมทีในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 37 วรรค 7 ระบุว่า “ถ้าผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติโดยเสียงข้างมากเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีนําร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายในสามสิบวัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

การบัญญัติในลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดการตีความไปในหลายทิศทางว่าสรุปแล้วจะใช้เกณฑ์ของเสียงข้างมากในการตัดสินประชามติอย่างไร

ฝ่ายหนึ่งมองว่าใช้เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิในการตัดสิน หมายความว่า ถ้ามีผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติจำนวน 20 ล้านคน แต่หากในวันลงประชามติมีผู้มาใช้สิทธิ 15 ล้านคน และมีผู้เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญเกิน 7.5 ล้านคน เท่ากับว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ

อีกฝ่ายเห็นแย้งว่าควรต้องตีความตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด กล่าวคือ ในเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าใช้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติจำนวน 20 ล้านคน ดังนั้นร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนเกิน 10 ล้านคน ลงมติเห็นชอบเท่านั้น

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาว จึงมีความเป็นไปได้ที่ ครม.และ คสช.จะแก้ไขในประเด็นนี้ โดยใช้เกณฑ์ในการตัดสินตามบรรทัดฐานของมาตรา 9 ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552 ที่บัญญัติว่า “การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิและมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น”

สมมติว่ามีผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวน 20 ล้านคน หากจะให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติจะต้องมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1.ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเกิน 10 ล้านคน จากทั้งหมด 20 ล้านคน 2.ใน 10 ล้านคน ที่มาออกเสียงนั้นจะต้องมีประชาชนมากกว่า 5 ล้านคน ให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ ถึงจะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ

2.หลักเกณฑ์การแสดงความคิดเห็น รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกแบบหลักเกณฑ์ วิธีการของการทำประชามติ ซึ่งรวมถึงการแสดงความคิดเห็น แต่ปัจจุบันเริ่มมีแรงกดดันที่ต้องการให้ คสช.ผ่อนปรนกฎเหล็กในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เว้นแต่จะเป็นการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญเกิดความสง่างาม ไม่ใช่ให้รัฐธรรมนูญผ่านประชามติด้วยการที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยถูกปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น

แน่นอนว่าเรื่องความสง่างามของร่างรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ คสช.และ ครม.ให้ความสำคัญ ถ้ามองในบริบทก็เป็นไปได้ที่ คสช.และ ครม.จะให้หลักประกันเรื่องการแสดงความคิดเห็นไว้ในรัฐธรรมนูญ แทนการให้ กกต.ไปบัญญัติเอาเอง

3.แผนรองรับกรณีร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ถ้ายึดตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กรธ.ไม่ผ่านประชามติ จะต้องเข้าสู่กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งที่ 3 และทำประชามติอีกครั้ง แต่สำหรับในทางการเมืองแล้ว ถามว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ความชอบธรรมจะมีพอเพื่อการเขียนรัฐธรรมนูญอีกครั้งหรือไม่ เพราะการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญย่อมหมายถึงการปฏิเสธ คสช.โดยประชาชนด้วย

ทั้งนี้ อาจเป็นเหตุให้ คสช.และ ครม.ต้องออกแบบบันไดหนีไฟ เหมือนกับที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ได้ทำเป็นต้นแบบเอาไว้ โดยครั้งนั้นกำหนดให้หากร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไม่ผ่านประชามติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นำรัฐธรรมนูญในอดีตฉบับไหนมาปรับปรุงและประกาศบังคับใช้ได้ ซึ่ง คสช.อาจนำแนวทางนี้มาชั่งน้ำหนักและปรับใช้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ดังนั้น การวางหมากแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการประชามติร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการกำหนดอนาคตของ คสช.ด้วยมือของ คสช.เอง

 

Leave a comment