‘บิ๊กตู่’ใช้ก.ม.แก้สงฆ์ขัดแย้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160115/220591.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2559
'บิ๊กตู่'ใช้ก.ม.แก้สงฆ์ขัดแย้ง

‘ประยุทธ์’ เป็น ปธ.ประชุม คตช. ชี้ แก้ปัญหาทุจริตมีความก้าวหน้าโดยลำดับ ขอฝ่ายกฎหมายช่วยหาแนวทางแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘สงฆ์ – ฆราวาส – การเมือง’

                      15 ม.ค. 59  เมื่อเวลา 09.00 น.  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)
                      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในตอนต้นของการประชุม ว่า การแก้ปัญหาทุจริตมีความก้าวหน้าโดยลำดับ ส่วนสถานการณ์ขณะนี้ที่มีปัญหาขัดแย้งกัน ทั้ง สงฆ์ ฆราวาส การเมือง ดังนั้น ฝ่ายกฎหมายก็ต้องช่วยกันหาแนวทางแบ่งเบาภาระ ทำอย่างไรจะช่วยลดปัญหาขณะนี้ลง โดยการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งมีขั้นตอนอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เรากำลังขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ทำได้ ก็ให้เดินหน้าต่อไป แต่อะไรที่เป็นปัญหา หรือมีข้อสังเกตที่ต้องแก้ไข ก็ต้องสอบสวน และดำเนินการต่อไปให้ได้ในเรื่องที่ไม่ร้ายแรง
                     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกครั้งที่เมื่อเวลา 17.15น.ว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังกลั่นกรองอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องของเขาต้องทำให้ถูกต้อง อย่าให้ตนไปทะเลาะกับข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งตนไม่ได้ห่วงข้างบน แต่ห่วคนข้างล่างและประชาชน
ระบุศาสนาเริ่มขัดแย้งกันอีกแล้ว 
                     พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ประจำวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2559 ว่า  เรื่องศาสนาวันนี้เริ่มขัดแย้งกันอีกแล้ว กล่าวหาว่าข้างนั้นข้างนี้ไม่สนใจ เพราะเป็นชาวพุทธ เคารพในพระสงฆ์เสมอมา ในคำสอนพระพุทธเจ้าเสมอมา ไม่สนใจผู้นำแต่ละฝ่ายว่าเป็นใคร ทุกคนอาจจะมีความปรารถนาดี แต่อย่าลืมว่าเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง ในสมัยก่อนจำได้หรือไม่ โลกใบนี้รบกันเรื่องของศาสนากันมากมาย สงครามศาสนาตายกันทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นรัฐบาลเป็นห่วงเรื่องนี้ เป็นห่วงประชาชนที่ให้ความเคารพนับถือ ภายใต้การนำของแต่ละฝ่ายมากกว่า ใครผิดใครถูกยังไม่กล่าวถึงตรงนั้น เพราะฉะนั้นไปหาทางออกให้ได้ หากยังใช้อารมณ์ ใช้ความรู้สึก กฎหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ อีกกลุ่มบอกว่าต้องรีบทำ อีกกลุ่มบอกว่าทำแล้วทำไมไม่โปร่งใส แล้วจะไปทางไหน ต้องการความสงบสุขของบ้านเมือง ต้องการดำรงความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธและพระสงฆ์
                     “วันนี้อย่าทะเลาะกันอีกเลยเรื่องแบบนี้ หยุดซะเถิด อะไรเป็นกิจของสงฆ์ ของฆราวาสแยกให้ออก ต่างฝ่ายต้องหาทางออกให้ได้ อย่าให้เสื่อมความนับถือ หม่นหมอง เคารพในกฎหมาย เคารพในการปกครองของพระสงฆ์ เรื่องใครจะทำผิดทำถูกไปหาวิธีการมา ไปหาข้อยุติมา อย่ากล่าวอ้างกันไปเรื่อยๆ เพราะกฎหมายมีอยู่ ถ้าเราไม่ทำตามกฎหมายก็ไม่ได้อีก แต่จะทำอย่างไรไม่ทำให้ทะเลาะกัน วันเวลาที่เหมาะสมเป็นเรื่องของรัฐบาลจะดำเนินการ ไม่ต้องมาบังคับ ไม่อย่างนั้นทุกเรื่องใครก็แล้วแต่ก็วางระเบิดเวลาทุกที่ไป ทุกเรื่อง ทุกงาน ไว้ให้ คสช. ไว้ให้รัฐบาลเหยียบกับระเบิดทุกวัน จะปฏิรูปได้อย่างไร จะแก้ปัญหาประเทศได้อย่างไร ไปแก้ปัญหากันมาให้ได้ ไม่ได้เข้าข้างใคร”
ทำ ‘แอนิเมชัน’ หลักสูตรโตไปไม่โกง
                      พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) กล่าวภายหลังการประชุม คตช.ว่า ที่ประชุมได้มีการสรุปผลการทำงานของ คตช.ในปีที่ผ่านมาที่มีการประชุม 7 ครั้ง ที่มีการสั่งการและเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นำไปปฏิบัติ โดยรายงานการทำงานดังกล่าวจะนำไปประชาสัมพันธ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้รับทราบว่ารัฐบาลดำเนินการอะไรไปบ้างเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยจะส่งรายงานให้กับเอกอัครราชทูตไทยประเทศต่างๆ และบริษัทเอกชนที่มาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยด้วย และนอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ ยังให้ความสำคัญในการต่อต้านการทุจริตไม่ใช่เฉพาะในส่วนราชการเท่านั้น แต่ยังให้ขยายผลไปถึงภาคเอกชนที่ต้องการความร่วมมือในการปรับปรุงเพิ่มเติมหรือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีกระบวนการต่อต้านการทุจริตครบกระบวนการ
                      ส่วนเรื่องการสร้างการรับรู้ พลเอกชาตอุดม กล่าวว่า จากการที่มีหลักสูตร “โตไปไม่โกง” ที่เป็นหลักสูตรในโรงเรียนในสังกัด สพฐ. และมีการเพิ่มเรื่องการเรียนแบบ E-Learning ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษา จะมีการจัดทำหลักสูตรเป็นการ์ตูนแอนิเมชัน เพื่อให้สะดวกต่อผู้เรียนและผู้สอนด้วย ที่จะมีการขยายผลในปีการศึกษา 2559 ต่อไป

 

ให้โอวาทนร.ห่วงเด็กรุ่นหลัง อยากได้ความจริงใจ-เข้าใจ

                      เมื่อเวลา 13.45 น. ที่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า  พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวทักทายครู อาจารย์ และนักเรียนจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 , 4 และ 5 จำนวน 200 คน ซึ่งได้นำสบู่และคุ้กกี้มามอบให้นายกรัฐมนตรีด้วย หลังจากนั้น นายกฯ ได้กล่าวให้โอวาสว่า “เป็นยังไงบ้าง ใครอยากเป็นนายกฯ บ้าง มาเอาไปเลยนะ กำลังยุ่งๆ เลยล่ะ สิ่งที่ครูสอนเป็นการสอนพื้นฐาน เมื่อนักเรียนได้รับการถ่ายทอดมา เขาเรียกว่าเป็นการสอนกระบวนการเรียนรู้ในหัวของเรา ไม่ใช่ว่าทุกคนบอกว่าเรียนไปแล้วไม่เห็นได้ใช้ เรียนจบมาแล้วไม่ได้ใช้อะไรเลย นั่นแสดงว่า ไม่ได้ใช้อะไรเลย ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาสอนมาทำให้เกิดพัฒนาการทางสมองทุกช่วงวัย ตั้งแต่ก่อนวัยเรียน อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา อาชีวศึกษา หรืออะไรก็แล้วแต่ รวมถึงการศึกษานอกโรงเรียน นอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม”
                      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เรากำลังสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เด็ก คนแก่ ทุกคนสามารถเรียนได้ตลอดไป เรากำลังทำเรื่องของไอที ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เน้นเรื่องการศึกษา เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ทุกคนก็เรียนจากไอซีทีของลุง ของนายกฯ นี่แหละ เพิ่มจากครูกู (กูเกิล) แต่ครูกูก็สู้ครูที่สอนเราไม่ได้ เพราะครูกูตอบแค่สองบรรทัด เพราะฉะนั้นกระบวนการเรียนรู้ต้องขอฝากอาจารย์ไว้ด้วยหากเป็นไปได้ เราจะล้มไปทางไหนไม่ได้ จึงต้องร่วมมือกันผ่านทั้งครูและอาจารย์ไปเข้าระบบหามาว่าคำถามคำตอบอะไรในกูเกิลอันไหนสำคัญ แล้วเอาทั้งหมดมาพูดคุยกันในช่วงบ่ายโดยตั้งโจทย์แล้วให้ไปค้นหา แล้วมาถกเถียงกันให้นักเรียนชี้แจง โดยให้ครูเป็นผู้กำหนดโจทย์ แบบนี้ถือเป็นตัวอย่างในการสร้างการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียว เรียนแล้วได้แค่ปริญญาแล้วไม่มีงานทำ แล้วจะทำอย่างไร ก็ไปเดือดร้อนพ่อแม่อีก วันนี้จบมา 40 เปอร์เซ็นต์แล้วไม่มีงานทำ วันนี้จะจบปริญญามาอย่างเดียวไม่ได้ บางคนอาจจะชอบเรื่องของอาชีพ ก็เรียนอาชีวะ ลุงเลยให้มีการเข้าไปสอนแนะแนวตั้งแต่ชั้นมัธยมให้เด็กได้รู้ตัวว่าไปไม่ไหวหรือไม่ ถ้าไม่มีการแนะแนวแล้วพ่อแม่ก็อยากให้ไปเรียนปริญญา ถ้าเด็กรู้ตัวก็จะได้บอกพ่อแม่ได้
                      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สมัยเด็กๆ ตนจำได้ว่าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ สอนตนมาเยอะเรื่องการเรียนรู้ วันนี้ตนเย็บผ้าเป็น ซ่อมกระดุมเองได้ รีดผ้าก็เป็น อ๊อกเหล็กก็เป็น เพราะโรงเรียนสอนมา เคยตาแฉะด้วยเพราะไม่ใส่แว่น ครูให้ใส่แว่น ลุงก็ไม่ใส่ เลื่อยไม้ก็เป็น แกะสลักก็เป็น บางอย่างพอเป็นแล้วก็ชอบ เราก็ชอบเรื่องวิศวกรรม พ่อแม่ก็อยากให้เป็นวิศวกร แต่เราอยากเป็นทหาร ชะตาชีวิตก็เป็นแบบนี้
                      “บางอย่างเราฝืนชะตาชีวิตได้ อย่าไปคิดว่าเขากำหนดไว้หมดแล้วทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้นในการกำหนดอนาคตของตัวเอง วันนี้อยากเป็นหมอ พยาบาล ทหาร ตำรวจ มันก็เปลี่ยนได้ตลอด ปีนี้อาจจะอยากเป็น ปีหน้าอาจจะไม่อยากเป็น ซึ่งทุกคนมีการพัฒนาทางความคิดอยู่เสมอ และสิ่งที่ผมเป็นห่วงขณะนี้ก็คือ เด็กรุ่นหลังต้องคิดให้มันซับซ้อนนิดหนึ่ง จะมาคิด 1+1 เป็น 2 อย่างเดียวไม่พอ 1+1 ผลออกมาอาจจะเป็น 3 4 5 ซึ่งจะต้องคิดเป็นกระบวนการ วิชาที่หายไปเดี๋ยวนี้คือ คิดเลขในใจ เช่น ในรายการโทรทัศน์ที่จีนมีกระบวนการสอนบวกลบคูณหารในครั้งเดียวกัน เราต้องไปหาแบบนี้มา เราต้องดึงความฉลาด เพราะทุกคนไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนมีความฉลาดมากแค่ไหน สมองส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องของความจำในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เช่น คนแก่จะถอยกลับมาอดีต อนาคตจะคิดไม่ไปแล้ว คนแก่ๆ จะจำอดีตได้ พอวันนี้ก็ลืมแล้วก็ค่อยๆ ถอยกลับมาเป็นเด็ก ส่วนสมองอีกซีกจะควบคุมการสั่งการ การเดินนั่ง อะไรก็แล้วแต่ต้องไปดูให้มันลึกซึ้งจะได้รู้จักว่าจะใช้อะไรกับคนเราเอง ไม่ใช่คิดแต่จะบอกพ่อว่าโทรศัพท์ไอโฟนเปลี่ยนรุ่นแล้ว จะขอเงินซื้อหน่อย แต่พ่อก็ไม่มีรายได้ เงินก็ไม่มี พ่อก็ต้องไปกู้เงิน ตามมาด้วยหนี้สิน แล้ววันหน้าลูกจะเรียนหนังสือกันอย่างไร”
                      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลมีรายได้จำกัดพอสมควร มี 275,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบขาดดุลเพราะตั้งเกินรายได้ที่มี วันนี้รายได้ที่คาดไว้ แล้วที่ต่ำอยู่แล้วยังไม่ได้อีก เพราะรายได้เข้าประเทศไม่มี ราคาน้ำมันก็ตก เราได้ภาษีจากน้ำมันเยอะ เมื่อน้ำมันลดราคา ภาษีก็ตก สินค้าการเกษตรที่ส่งออก 70 เปอร์เซ็นต์เป็นวัตถุดิบทั้งสิ้น ราคาตกภาษีก็ตกรายได้ก็ตก มันตกไปหมดทุกอย่าง มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว แต่ละกระทรวงก็จะเอา นี่คือปัญหาด้านงบประมาณของประเทศ เพราะฉะนั้น ลุงถึงบอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสอนเรื่องของความมีเหตุมีผล ความพอประมาณและการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีที่จะเดินไปข้างหน้า แล้วจะล้มเราก็ชะลอไว้ก่อนดูว่าแข็งแรงหรือไม่แล้วค่อยเดินต่อ การลงทุนอะไรก็หยุดไว้ก่อน จะเริ่มต้นเล็กๆ ก่อนดีไหม ไม่ใช่ทำอะไรก็เต็มที่ ใหญ่ๆ แล้วก็ล้ม แล้วก็ล้มละลาย นี่คือภูมิคุ้มกันที่ดีภายใต้ความรู้คู่คุณธรรม แบบสามห่วงสองเงื่อนไข นี่คือหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตาม ให้ครูไปออกข้อสอบแบบนี้หนึ่งข้อ เพราะเราจะรู้อะไรต้องรู้ให้ลึกซึ้ง การที่จะคุยกับคนได้จะต้องอ่านหนังสือทุกประเภท แต่เรื่องฉาวโฉ่ไม่ต้องไปศึกษา เราต้องอ่านหนังสือให้รู้ ให้เข้าใจสังคมได้ จะไม่รู้สักเรื่องไม่ได้ เพราะไม่อ่านไม่คิดต่อ จะเอาแต่สอบอย่างเดียว วันหน้าจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่แข็งแรงเพียงพอ
                      “ผมในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า สมัยนั้นเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียน ม.ศ.1 – 3 แล้วเผอิญว่าเรียนดี เพราะอยู่ต่างจังหวัด ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ยังไม่เกเร อายุประมาณ 14 ปี แล้วก็เรียนจบตอนอายุ 15 ปีตามเกณฑ์ แต่ลุงดันเรียน ม.ศ.1 ไป 2 ปีเพราะเรียนเร็วเกินไป จะมาสอบเข้าก็ไม่ได้เรียน เพราะขาดไป 11 เดือน ต้องกลับไปเรียนกับแม่ใหม่ แล้วกลับมาสอบใหม่อีกรอบ ซึ่งอาจจะดี แต่ไปสอบเตรียมทหาร โอ้โห ม.ศ.4 – 5 มาสอบ เรียนไม่ทันเขา เกือบตาย กว่าจะฟื้นได้ก็ขึ้นนักเรียนนายร้อยแล้ว เรียนไป 7 ปีกว่าจะจบ เขาสอนจบมาให้เป็นทหาร ไม่ได้สอนให้เป็นนายกฯ แต่ที่ต้องเป็นเพราะบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ลุงไม่ได้ว่าลุงดี ลุงเก่ง เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่เมื่อใดที่ประชาธิปไตยมันเสียหาย มีปัญหา ทหารเป็นอย่างเดียวเท่านั้นที่จะพิทักษ์ปกป้องได้ ไม่ใช่ไปหวงความรับผิดชอบหรือความรักไว้ มันไม่ใช่ วันนี้ลุงทำงานเยอะมาก ใครที่อยากเป็นนายกฯ ต้องรู้งานทั้ง 19 กระทรวง แล้วมีกี่กิจกรรมที่ต้องรู้เพื่อสั่งงานเขาได้ กำกับติดตามดูแลเขาได้ ลุงเคยสอนเรื่องนี้มาหรือเปล่า เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ความมั่นคง นี่คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ขอฝากอาจารย์ไว้ด้วย ต้องรู้สถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศ ว่าโลกวันนี้เป็นอย่างไร ความมั่นคงไม่ใช่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ทหารตำรวจอย่างเดียว ต้องเป็นหน้าที่ของคนทุกคน อย่าขัดแย้งกัน วันนี้เราทำสองอย่าง คือ 1. ทำให้เด็กหรือคนในปัจจุบันอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นี่คือหน้าที่ลุง หน้าที่ของทุกคนที่ต้องช่วยกัน ไม่ใช่ให้ลุงปฏิรูปคนเดียว ปฏิรูปไม่เสร็จ เลือกตั้งไม่ได้ก็โดนอีก หรือประชามติไม่ผ่านก็โดนอีก ทั้งหมดกลับมาที่ลุงหมดเลย แล้วผมเข้ามาทำไม ทำเพื่อใคร ในเมื่อผมไม่ได้อะไรสักอย่าง ไม่ได้ต้องการเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่ดารา เพราะฉะนั้น สิ่งที่วันนี้อยากได้คือความจริงใจและความเข้าใจจากทุกคน และเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ขณะเดียวกันในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อนาคตมีเรื่องการศึกษา เราต้องมีการเตรียมการ คนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในท้องเพื่อให้อีก 20 ปีข้างหน้าเราได้คนรุ่นใหม่จริงๆ ซึ่งเรียกว่าเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระยะยาว วันนี้กำลังแก้ปัญหาทั้งหมด เพื่อให้เรามีงานทำ มีการศึกษาที่ดีขึ้น”
                      ผู้สื่อข่าวรายงานภายหลังจากนายกฯ กล่าวให้โอวาทเสร็จ นายกฯ ก็ได้บันทึกภาพเป็นที่ระลึกร่วมครูและเด็กนักเรียนอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับให้เด็กๆ กล่าวคำขวัญวันเด็ก โดยนายกฯ ถามเด็กๆ ว่า “เด็กดีคืออะไร ไปหามา รู้ไหม เด็กดีคือไม่ทำเลวไง ให้คำขวัญวันเด็กแล้วให้คำขวัญวันครูด้วย อะไรดีล่ะ เด็กดี ครูดี มีคุณภาพ สู่อนาคต”

Leave a comment