ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160115/220604.html
‘นิพนธ์’อดีตประธานทีดีอาร์ไอ พยานโจทก์ชี้ข้อแตกต่างโครงการจำนำข้าว-ประกันราคาข้าวรัฐบาล ‘อภิสิทธ์-ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ระบุยุค‘ปู’ปรับราคาสูงกว่าตลาด
15ม.ค.2559 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะรวม 9 คน นัดไต่สวนพยานโจทก์นัดแรก คดีโครงการรับจำนำข้าว หมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
โดยช่วงเช้า อัยการ ได้นำตัว นายนพดล ทิพยวาน บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 7 และนายนิพนธ์ พัวพงศกร อดีตประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เข้าไต่สวน ซึ่งนายนพดล บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 7 เบิกความเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวที่เป็นบทสัมภาษณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ โครงการจำนำข้าว ซึ่งมีการทำคลิปภาพและเสียงสัมภาษณ์ข่าวที่มีการออกอากาศเสนอต่อศาล โดยนายนพดล พยานได้เบิกความรับรองพยานวัตถุและเนื้อหาข่าว ขณะที่ทนายจำเลยได้พยายามซักค้านเรื่องการตั้งคำถามนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบันทึกข้อตกลง (MOU) กับต่างประเทศ และการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งพยานได้ระบุว่าทางน.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบุญทรง ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวตามที่ปรากฎในคลิปภาพที่ออกอากาศ โดยพยานปากนี้ใช้เวลา 30 นาทีเบิกความเฉพาะเรื่องการนำเสนอข่าว
ขณะที่นายนิพนธ์ อดีตประธานทีดีอาร์ไอ เบิกความถึงผลการวิจัยโครงการจำนำข้าวในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งพยานเบิกความตอบคำถามทนายจำเลยว่า การจำนำข้าวเปลือก ได้ดำเนินการมาตั้งแต่อดีต จนถึงขณะนี้ 30 ปี ซึ่งในอดีตหลักการรับจำนำข้าว จะกำหนดราคาต่ำกว่าราคาตลาด โดยวัตถุประสงค์การรับจำนำข้าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อและที่มีฐานะยากจน ซึ่งไม่รวมถึงผู้ประกอบการค้า และการดำเนินโครงการจะมีจำกัดปริมาณข้าวเปลือก แต่เมื่อถึงยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ในปี 2548-2549 ก็ได้ดำเนินโครงการจำนำข้าว ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะมีการจำกัดปริมาณให้รัฐรับซื้อข้าวจากชาวนา แต่มีการปรับหลักการเรื่องราคาที่รับซื้อในราคาสูงกว่าราคาตลาด จึงไม่ถูกต้องตามหลักทฤษฎีจำนำข้าวในอดีต แต่เป็นลักษณะของการประกันราคาข้าวมากกว่า เช่นเดียวกับรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่รับซื้อข้าวเปลือกในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดและไม่จำกัดปริมาณข้าวเปลือกที่จะซื้อจากเกษตรกรต่อคน ซึ่งทีดีอาร์ไอ เคยเสนอปริมาณการรับซื้อที่เหมาะสมในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ควรรับซื้อควรเท่ากับ 15 ตันต่อคน แต่โครงการกลับเขียนให้รับซื้อข้าวเปลือกทุกเม็ด จึงเหมือนกับรับซื้อข้าวเปลือกทุกกรณี ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่เน้นช่วยเหลือชาวนากลุ่มย่อย และการตั้งวงเงินที่สูงกว่าก็ขัดต่อกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก โดยการดำเนินโครงการจำนำข้าวยุครัฐบาลทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้หลักการจะใกล้เคียงการประกันรายได้ แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อโครงการจากจำนำข้าว จึงอาจทำให้เกิดความสับสน ขณะที่ในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่จะดำเนินโครงการจำนำข้าว ซึ่งพยานได้ร่วมให้ข้อเสนอแนะว่าต้องเน้นหลักการช่วยเหลือชาวนารายย่อย ยากจน และต้องจำกัดปริมาณรับซื้อข้าวเปลือก 15 ตันต่อชาวนา 1 คน แต่เมื่อนำหลักการไปปฏิบัติในทางการเมืองไม่สามารถดำเนินการตามทฤษฎีได้ทั้งหมด จึงได้มีการปรับเป็นโครงการประกันรายได้
ขณะที่พยานยังได้ตอบคำถามเรื่องการว่าจ้างให้ทำงานวิจัยโครงการว่า มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ว่าจ้างให้พยานทำวิจัยและศึกษาโครงการการจำนำข้าวและการประกันรายได้ ซึ่งการทำวิจัยเพื่อตรวจสอบและสนับสนุนนโยบายสาธารณะ รวมทั้งการต่อต้านการทุจริต โดยกรณีที่ป.ป.ช.ว่าจ้างการทำวิจัยในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เพื่อการกล่าวหาการทุจริตและการทำศึกษาโครงการในยุคน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เกิดก่อนที่จะกลายเป็นคดี ซึ่งพยานไม่ทราบว่าจะมีการนำงานวิจัยดังกล่าวมาเป็นหลักฐานของโครงการ
ทั้งนี้การทำวิจัยพยานซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการได้ดูแลและตรวจสอบเนื้อหาทุกขั้นตอน โดยผลงานวิจัยแต่ละชิ้นไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกับโครงการอื่น เนื่องจากวัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษาแตกต่างกัน ขณะที่วิธีการวิจัยผู้วิจัยได้สุ่มตัวอย่างบางพื้นที่ที่จะเก็บข้อมูลและส่งแบบสอบถามให้กับโรงสี เพราะข้อมูลหลักในงานวิจัยผู้วิจัยจะใช้ภาพรวมเศรษฐศาสตร์ทั่วประเทศ เมื่อส่งงานวิจัยให้ผู้ว่าจ้างที่จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานวิจัย แต่ผู้ว่าจ้างก็ไม่สามารถแก้ไขเนื้อหาในงานวิจัยได้
เมื่อทนายจำเลยพยายามถามถึงกรณีสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในยุครัฐบาลนายทักษิณ ไม่ว่าจ้างให้สถาบันทำวิจัย นายนิพนธ์ อดีตประธานสถาบันทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ช่วงเวลานั้นตนไม่ได้เป็นผู้นำองค์กร จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่เท่าที่ทราบทีดีอาร์ไอยังถูกว่าจ้างจากหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ให้ทำวิจัยให้โดยตลอด โดยทางทีดีอาร์ไอเป็นสถาบันวิจัยไม่ได้เป็นศัตรูกับรัฐบาลใด และวัตถุประสงค์การทำวิจัยของทีดีอาร์ไอนั้น เพื่อพัฒนาประเทศไทยและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ขณะที่ส่วนตัวได้ทำวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรอย่างน้อย 5 ชิ้นงาน และอายุงานที่เหลืออยู่นี้พยานก็ได้อุทิศตนเพื่อทำวิจัยเรื่องของชาวนาและการพัฒนาเพื่อป้องกันการเอาเปรียบต่อไป
อย่างไรก็ดี เมื่อนายนิพนธ์ เบิกความถึงเวลา 12.00 น. ศาลได้พักการพิจารณา โดยให้ไต่สวนนายนิพนธ์ต่อในช่วงเวลา 13.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศในบริเวณศาลฎีกาฯ เจ้าหน้าที่ได้นำรั้วเหล็กมากั้นเป็นทางเดิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคู่ความ เนื่องจากมีประชาชนมารอให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบดูแลรักษาความปลอดภัย และเมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาถึงด้วยสีหน้าสดใส พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่า “มั่นใจค่ะ วันนี้เราจะทำเต็มที่” ขณะที่ประชาชนซึ่งมารอให้กำลังใจต่างตะโกนว่า นายกสู้สู้
ขณะที่มีกลุ่มนักการเมือง อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.คลัง นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมสมาชิกพรรคเพื่อไทย และกลุ่มแกนนำนปช. มาให้กำลังใจด้วยเช่นกัน
