ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160118/220726.html
‘กมธ.สันติสุข’ต้องไม่ใช่แค่ ‘เครื่องช่วยอธิบาย’ของผู้กุมอำนาจ : ขยายปมร้อน สำนักข่าวเนชั่น โดย ประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี
ประเด็นร้อนวันนี้หนีไม่พ้น การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข มุ่งเน้นแสวงหาความปรองดอง…อีกครั้ง
ที่ต้องบอกว่าอีกครั้ง ก็เพราะว่า ที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการในเรื่องนี้มาแล้วหลายชุด ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการอิสระเพื่อความปรองดอง (คอป.) ที่มี นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน หรือคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่มี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครนำเอาไปปฏิบัติอย่างจริงจังให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมเสียที
การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อให้สังคมเกิดความสันติสุขนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี และควรที่จะทำมาตั้งนานแล้ว แต่ต้องยอมรับตรงๆ ว่า ไม่เชื่อว่าหากมีการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาแล้วจะทำอะไรได้ในเชิงปฏิบัติ
เพราะขนาดว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มักจะพูดอยู่เสมอว่า เข้ามาเพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง แต่ขณะนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านมา 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ อย่างที่กล่าวเอาไว้เลย
ถ้าพูดให้ชัดก็คือ ที่เราไม่เชื่อว่าจะได้ผลในเชิงปฏิบัตินั้น เพราะสาเหตุหลักของความแตกแยกในทุกวันนี้เกิดจากฝ่ายหนึ่งมองว่า ถ้าตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย ตราบใดที่กฎหมายยังถูกบังคับใช้สองมาตรฐาน ฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ก็คงยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะ นปช.
ดังนั้น ถ้าคิดที่จะจับเข่าคุยกับ นปช.ก็คงต้องทำปัจจัยเหล่านี้ให้หมดความค้างคาใจไปเสียก่อน จึงจะทำให้ นปช.ยอมรับได้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นหน้าที่ที่ผู้มีอำนาจจะต้องไปคิดเอง ถ้าหากไม่เริ่มต้นที่การทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกกี่ชุดต่อกี่ชุดก็ตาม เพราะผลสุดท้ายก็คงจะไม่ต่างจากเดิม
ถ้า สนช. หรือ กรธ. มีความตั้งใจที่จะให้ประเทศเกิดความปรองดองขึ้นจริงๆ ก็ควรนำข้อมูลที่เคยมีการศึกษามาก่อนหน้านี้โดยคณะกรรมการชุดต่างๆ มาต่อยอด หรือจะเชิญคณะกรรมการปรองดองที่เคยตั้งมาแล้วก่อนหน้านี้ทุกชุดมาช่วยกันนำเสนอว่า ที่ผ่านมานั้นได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และมีผลคืบหน้าอย่างไร แล้วผลักดันขับเคลื่อนให้เกิดผลขึ้นในทางปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการปรองดองมีสถานะเป็นเพียงแค่ “เครื่องช่วยอธิบาย” ของผู้มีอำนาจ สังคมไทยจึงจะหลุดพ้นจากความขัดแย้งที่กัดกร่อนประเทศมานานหลายปีได้
ไม่จำเป็นต้องให้ทุกฝ่ายมานั่งสุมหัวคุยกันด้วยซ้ำ เพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจัยความขัดแย้งทุกวันนี้มีอะไรบ้าง ถ้าทำปัจจัยเหล่านั้นให้จบสิ้นลงได้ อย่างน้อยๆ นปช.ก็คงยอมรับได้
แต่ถ้าใช้เพียงแต่ปากพูดว่า เราก็รักประเทศ รักคนไทยทุกคน แล้วจับคนไปนั่งคุยกันในกลุ่มที่เรียกว่า คณะกรรมการ แต่สุดท้ายแล้วต่างคนต่างก็ยึดจุดยืนเดิมของตัวเองอยู่ดี พูดกันใหม่อีกกี่หนก็คงไร้ค่า เพราะมันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หัวใจของการปรองดองนั้นจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่การทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ภายใต้กติกาที่เป็นที่ยอมรับ และเป็นสากล ถ้าตราบใดที่กติกาของบ้านเมืองยังคงขัดกับหลักการประชาธิปไตย ย่อมไม่ใช่คำอธิบายว่า จะนำพาประเทศออกจากความขัดแย้งได้
ดังนั้น ถ้าหากคิดที่จะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นในบ้านเมืองจริงๆ แล้วละก็ คงต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ตรงไปตรงมา ซึ่งไม่ได้หมายความถึงเฉพาะรัฐบาลเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายด้วย ทุกอย่างจึงจะเริ่มต้นนับหนึ่งกันได้
อย่าให้สังคมจดจำหรือหยิบภาพใดภาพหนึ่งไปเปรียบเทียบว่า ตัดสินในคดีที่คล้ายคลึงกัน ต่างกันเพียงแค่ปี พ.ศ.นั้น ฝ่ายหนึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่มีความผิดใดๆ เลย เพราะแบบนั้นสังคมคงจะยอมรับไม่ได้ ต้องสร้างภาพให้เห็นว่า กำลังพยายามทำอะไรอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้จริงๆ เพื่อให้สังคมยอมรับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตราบใดที่คณะกรรมการยังไม่คุยกับผู้มีอำนาจในปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมาก็คงยากที่จะผลักดันเรื่องความปรองดองให้เกิดผลขึ้นจริงได้
