ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160121/220974.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2559
‘ประยุทธ์’ ชี้ละเว้น ‘จ่านิว’ ผิด ม.157 ทหารอุ้มตาม ก.ม.จับโจรใช้ทุกรูปแบบ ปัด คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน ยังไม่ถึงเวลาเล่นการเมือง ซัดสื่อเปิดโอกาสพวกหนีคดีจ้อ
21 ม.ค. 59 เมื่อเวลา 11.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ถึงเรื่องกรณีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะพิจารณาให้ คสช.ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ว่า “ก็ผมจะไปหรือยังล่ะ ผมจะไปถึงตรงนั้นหรือยัง จะเว้นวรรคยังไง ถามว่าใครจะไปเล่นการเมืองล่ะ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อาจจะเป็นสมาชิก คสช. นายกฯ ย้อนถามว่า “ก็บอกมาสิสมาชิกใน คสช.นี่เป็นใคร ไม่ต้องมีเผื่อ เดี๋ยวเขาก็คิดกันเองแหละ” เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกฯ กล่าวด้วยอารมณ์โมโหว่า “ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะเขียนหรือไม่เขียนก็ว่าไปเถอะ ไม่ต้องมามั่นใจ ทำไมพวกเธอถึงไม่ไปมั่นใจพวกคนเลวๆ ที่จะเข้ามาอีกล่ะ ไปเขียนล็อกพวกนั้นไม่ได้ อย่าเลย ฉันพูดกับเธอมันไม่เกิดประโยชน์หรอก ผมอารมณ์ไม่ดี ทุกทีแหละผมแกล้งอารมณ์ไม่ดีตลอด พอแกล้งไปแกล้งมาเป็นจริงทุกที ไอ้พวกนี้มันชอบกระตุ้น แต่ไม่ได้โกรธเธอหรอก แต่พวกเธอต้องเข้าใจสิว่าวันนี้เรากำลังแก้ไขปัญหาอยู่ กำลังวางพื้นฐานประเทศอยู่ แล้วต้องปฏิรูปให้ได้ แต่ทุกคนไม่ยอมรับอะไรเลย ใครจะทำล่ะ แบบประชาธิปไตยจะทำได้อีกไหม”
นายกฯ กล่าวว่า ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากตนวันนี้ ให้ทำงานตรงนี้ให้ได้ วันหน้าเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีว่าต้องทำอย่างไร วันนี้เธอก็ไปฟังพวกหนีคดีก็ไปฟังเขาอยู่นั่น มันผิดกฎหมายไม่ใช่หรือ ผิดอะไรบ้างเยอะแยะไปหมด แล้วไม่จับ ก็เปิดโอกาสให้เขาพูดอยู่นี่ แต่ไม่ใช่พูดส่งเดช ถ้าเล่นจริงนะเขาพูดแล้วเธอทำลงหนังสือพิมพ์มาขาย เขาก็ผิดเธอก็ผิด เพราะกฎหมาย คสช.มันเขียนไว้อย่างนั้นเลยนะจะบอกให้ แต่เราก็ไม่ใช้ทั้งหมด แต่สื่อก็ไปเขียนอยู่ได้ว่า คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน ตนขอถามว่า กระบวนการจับกุมมีจำนวนมากหรือไม่ มันมีทุกวัน จับแบบไหนก็คือจับ จับตามกฎหมายเท่านั้นเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนายกฯ ให้สัมภาษณ์ขาไมโครโฟนได้เอนมาทางผู้สื่อข่าว นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ล้มง่ายๆ หรอก จะเจาะยางยังไงก็ไม่ล้ม เพราะต้องยืนถึงให้มั่น”
ทหารอุ้มตาม ก.ม.จับโจรใช้ทุกรูปแบบ
เมื่อเวลา 11.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กรณีทหารเข้ารวบตัว นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว กลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ ว่า ตนก็แจ้งไปแล้วว่าให้ดูอยู่ ซึ่งเขาก็บอกว่าต้องระมัดระวังเรื่องแบบนี้ ซึ่งต้องเข้าใจว่ากฎหมายมีหลายฉบับ แล้วอย่าลืมว่าคนที่เห็นด้วยกับเขามีส่วนหนึ่ง แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยก็มีจำนวนมาก ซึ่งคนที่เห็นด้วยก็จะบอกว่าหมายจับมีแล้ว ทำไมไม่ทำ การละเว้นผิดมาตรา 157 แล้วอยากถามว่า เจ้าหน้าที่จับจ่านิวเรื่องอะไร ออกหมายจับเรื่องอะไร ความผิดอยู่ตรงไหน กรณีเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ เป็นคนละเรื่อง เขามีความผิดตั้งแต่กฎหมายปกติมาตรา 116 หรือ 117 กรณีการสร้างความวุ่นวายสับสนในที่สาธารณะ กีดขวางการจราจร ต้องดูกระบวนการเริ่มต้นว่าความผิดนั้นอยู่ตรงไหน ซึ่งถ้ามีการเดินทางไปยังอุทยานราชภักดิ์ ก็ผิดเรื่อง พ.ร.บ.การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ ขัดคำสั่ง คสช.ในเรื่องการห้ามตามกฎหมายอยู่แล้ว ผิดแน่นอน แล้วจะผิดต่อที่ 2 คือ เป็นการชุมนุมอีกพื้นที่หนึ่งต่างเวลา ถือว่าต่างกรรม ต่างวาระ เป็นสิ่งที่ตนห่วง ไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ จะไปพูดออกสื่อหรือเรียกคนมา ประชาชนเองก็จะผิดกันทั้งพวง ถ้าไม่เคารพกฎหมายกันอย่างนี้แล้วจะอยู่กันอย่างไรเล่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่เจ้าหน้าที่ไปอุ้มขึ้นรถอย่างนี้จะถูกมองในแง่ไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “เขาก็จับทุกรูปแบบ ทำไมจับแล้วให้พวกเธอเห็นแล้วถ่ายรูปจะได้ไปต่อต้านเจ้าหน้าที่กันหรืออย่างไร แล้วกรณีไปจับโจรอื่นทำไมไม่พูดกันบ้าง” เมื่อถามย้ำว่า แต่กรณีนี้เป็นนักศึกษาจึงเป็นประเด็นที่อ่อนไหว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า “เป็นนักศึกษาเรียนมากี่ปีแล้ว รู้หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่จะจบ ไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่อยู่นั่นแหละ ไม่จบก็ไม่จบ ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะต้องดูแล้วนะ ผมไม่ได้มองว่าเขาออกมาต่อต้าน แต่ถามว่ามันต่อต้านได้ไหมเล่า ลองสิ ใครมาต่อต้านสิ เอาหรือไม่เล่า แล้วพวกคุณจะปล่อยให้คนเหล่านี้ต่อต้านหรือ ผมพูดไปก็ไม่ฟังกัน พูดจนเหนื่อยปาก เดี๋ยวชกเลย แล้วก็ไปเขียนเฉพาะไอ้ที่แสบๆ นายกฯ อารมณ์เสียอย่างนั้น อย่างนี้ ฟังกันบ้างเรื่องที่เป็นสาระ แล้วถ้าจะปล่อยให้เขาทำกันอย่างนั้น คนอื่นผมก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็ขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ กฎหมายเขาเขียนไว้แล้ว เขาไม่ได้เขียนว่าห้ามไปอุทยานราชภักดิ์ ไปแล้วผิด ไม่ได้เขียนห้ามชุมนุมเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กฎหมายเขามีไว้อยู่แล้ว ความจริงไม่ต้องใช้มาตรา 44 ไม่ต้องมี คสช. ถ้าทุกคนทำตามกฎหมาย พ.ร.บ.การชุมนุมฯ แล้วทำไมวันนี้ที่เขาชุมนุมเรื่องยางจึงไม่ถูกจับ เพราะเขาขออนุญาต รู้จักกฎหมายกันบ้าง ไม่ใช่อะไรก็จะประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนแล้วมันเป็นอย่างไรที่ผ่านมา”
เมื่อถามว่า การจับกุมนักศึกษา ต่างประเทศมักจะมีท่าทีต่างๆ ออกมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ช่างต่างประเทศ ตนชี้แจงได้อยู่แล้ว ตอนนี้ตนชี้แจงไปหมดแล้ว พฤติกรรมของใครที่อยู่ต่างประเทศ ผิดกฎหมายอะไรบ้าง ตนส่งไปหมดแล้ว ผิดกฎหมายอะไรบ้าง ทุกตัว ตนไม่กลัวใครอยู่แล้ว ที่ผ่านมาไม่กล้าพูดกัน ก็เอาเรื่องข้อเท็จจริงส่งไปยังสถานทูตทุกประเทศ ว่าใครผิดตรงไหนอย่างไร ให้เข้าใจว่ากฎหมายไทยคือกฎหมายไทย ไม่ใช่อำนาจของตน เป็นอำนาจของกฎหมาย ที่ออกมาเพื่อคนทั้งประเทศ เราต้องคิดให้ออก ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาประเทศไม่ได้
ปัดส่งทหารสังเกตการณ์บ้านนักข่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีที่มีทหารเข้าไปสังเกตการณ์บ้านผู้สื่อข่าวคนหนึ่งย่านสุขาภิบาล 5 ซึ่งได้ไปทำข่าวบ้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และ พล.อ.ประยุทธ์ เคยถามถึงว่าสนุกและไปรับของขลังอะไรมาหรือเปล่า โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงเป็นการไปลาดตระเวนในพื้นที่ของหน่วยงานนั้นๆ มากกว่า ก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร “เดี๋ยวสั่งให้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ตำรวจก็ไม่ต้องไปดูแล มีเรื่องก็ให้รับผิดชอบกันเอง”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงมาชี้แจงว่า ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ได้รับรายงานว่า รถยนต์ทหารที่เข้าไปยังบ้านผู้สื่อข่าวดังกล่าวเป็นการลาดตระเวนตามปกติของหน่วยรักษาความสงบในพื้นที่ โดยรถยนต์ที่ใช้เป็นรถยนต์ดัดแปลงที่ภาษาทหารเรียกว่า รถ 50
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ที่รถทหารเข้าไปลาดตระเวนที่บ้านผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.20 น. วันที่ 20 ม.ค. มีรถทหาร 50 ที่มีลักษณะคล้ายรถจีเอ็มซี พร้อมทหารประมาณ 7 นาย ได้เข้าไปยังบ้านผู้สื่อข่าวคนหนึ่ง บริเวณถนนสุขาภิบาล 5 ซึ่งซอยดังกล่าวเป็นซอยตัน บุคคลที่จะเข้าไปซอยดังกล่าวจะเป็นเฉพาะญาติพี่น้องเท่านั้น ปกติจะไม่มีบุคคลภายนอกผ่านเข้าไป เนื่องจากไม่ใช่ถนนสายหลักหรือทะลุเชื่อมต่อไปไหนได้ และก็ไม่เคยมีการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาแต่อย่างใด ทำให้ชาวบ้านใกล้เคียงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 10.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานเปิดโครงการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4,000 (One Map) และมอบนโยบายว่า สิ่งที่ตนเองต้องการในตอนนี้คืออยากให้มีคนที่ร่วมกันทำความดี ให้ประเทศชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านที่นำไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตนไม่อยากสืบทอดอำนาจ แต่อยากสืบทอดการทำงานที่เราทำไปแล้ว ซึ่งข้าราชการทุกคนต้องทำต่อ ถ้าไม่ทำอาจจะมีคนที่ไปก่อนตน ซึ่งไม่ได้เป็นการขู่ หลักการปกครองขู่กันไม่ได้ แต่มันจำเป็นเพื่อลบคำครหาว่า รัฐบาลไม่เข้มงวด ไม่ตรวจสอบ เพราะเราตรวจสอบทุกอันทุกเม็ด
“ขอให้เข้าใจ สื่อเองก็ต้องเข้าใจผมด้วย ไม่ใช่ว่าบอกว่ารัฐบาลช้าไม่มีน้ำยา เรื่องอะไรมาดูถูกกันเอง ในเมื่อเราทำทุกอย่างให้กับท่าน ท่านต้องมีส่วนร่วมกับผมในการพัฒนาประเทศ เสนอทั้งสองทาง ท่านจะเสนอให้ใครผมไม่รู้ แต่ท่านต้องเสนอข่าวให้กับรัฐบาลด้วย นี่คือการปฏิรูปสื่อในอนาคต ผมไม่ได้ใช้อำนาจไปก้าวล่วง แต่จะให้สังคมกดดัน เมื่อท่านเสนอข่าวแย่ๆ ออกมาทุกวัน ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา วันนี้หน้าแรกเห็นแต่เรื่องรบรา ฆ่าฟันกันตาย ดารา ให้เขาเป็นสุขเถอะ ตอนอยู่เขาก็ป่วย เขาก็เจ็บ พอตายก็จะอะไรกันนักหนา ขออย่าหากินกับเรื่องแบบนี้เลย อย่างครั้งก่อนเรื่องสำคัญก็คือเรื่องความเผือก ซึ่งต้องเสนอข่าวที่ลดความขัดแย้ง ไม่เปิดประเด็นใหม่ เอาสิ่งที่รัฐบาลทำไว้ไปพูด หากมีข้อเสนอแนะอะไรก็ให้วิจารณ์มา หลายคนไปงานปีใหม่มาใครบ้างผมรู้หมด ไปงานปีใหม่ ไปงานวันเกิด รับของแจก มีของศักดิ์สิทธิ์ตะกุด 3 ดอก อะไรซักอย่าง ดอกเดียวก็แย่อยู่แล้ว ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรที่จะสู้กฎหมายได้ ถ้าท่านทำผิดกฎหมายการพิจารณาคดีก็มีมาตรการอยู่แล้ว”
สั่งตรวจสอบ ‘ไอเอส’ เข้าไทย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีกระแสการมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายรัฐอิสลาม หรือไอเอส เข้ามาในพื้นที่ จ.นราธิวาส ว่า กำลังตรวจสอบอยู่ เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องลับ เป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับประเทศอื่น และประชาคมโลก เราต้องระวัง บางทีบางเรื่องถ้าพูดออกมาก็ไม่เกิดประโยชน์ จะทำให้ผู้ก่อเหตุสามารถหลบหนีไปได้เรื่อย และจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในกระบวนการขัดแย้งเสียเอง และก็จะเกิดที่บ้านเรามากขึ้น ซึ่งเรามีการให้ความร่วมมือในด้านการข่าว ด้านการป้องกัน การจัดหาระบบเทคโนโลยีต่างๆ ตนอยากให้ทุกคนมองอย่างนี้ ไม่ใช่อยากรู้ไปทุกเรื่อง บางเรื่องก็ต้องมีความลับ ลับมาก ลับที่สุด บางเรื่องต้องใช้ในเชิงบริหาร ทำอย่างไรไม่ให้ประเทศวุ่นวาย ตื่นตระหนก นี่คือประเด็นของตน ไม่ใช่ประชาชนทุกคนต้องรู้ทุกเรื่อง
“บางเรื่องเป็นเรื่องของการบริหารประเทศ ให้ประเทศไปได้ เป็นนโยบายด้านความมั่นคง ก็ต้องทำให้มั่นคง ไม่ใช่ลับทั้งหมด แต่มีลับเป็นขั้นๆ ถ้าถามว่าจับได้หรือยัง ก็จับได้ แล้วเป็นไอเอสหรือเปล่า แล้วเอายังไง จะเอาได้หรือไม่ให้ชัดเจนหรือ ใช่หรือไม่ใช่ แล้วถ้าใช่จะได้อะไรขึ้นมา แล้วจะเสนออะไรต่อ บ้านเราเริ่มมีกระบวนการแบบนี้เข้ามาแล้ว แล้วจะได้อะไรขึ้นมาอีก ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น คราวนี้ก็เกิดบ้านเรา”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนกรณีกลุ่มไอเอส รัฐบาลมีแนวทางปรับยุทธวิธีใดตั้งรับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขามีแผนอยู่หรือไม่ เขาทำไปตั้งนานแล้ว เขาทำอยู่แล้ว มาตรการความมั่นคงนั้นมีหลายอย่าง เพิ่มประสิทธิภาพข้าราชการ กำลังพล เพิ่มเทคโนโลยี เพิ่มอุปกรณ์ พัฒนาการศึกษา เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่มีทุกระดับ ทุกประเทศ การร่วมมือด้านการข่าวกรอง ที่มีการประชุมตลอดเวลา และข้อมูลเขาก็มีแต่จะเอามาแฉทุกอันได้หรือไม่ ไม่ใช่ต้องมาปรับแผนทุกวัน ซึ่งหลักการของแผนคือความร่วมมือ คน เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ กฎหมาย และความร่วมมือกับนานาประเทศที่มีการดำเนินการมาตลอด ตามยุทธศาสตร์ชาติ แต่ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติ เพราะทุกคนก็ไม่ไว้ใจหมด ข้าราชการก็เสมอตัว ทำดีไม่ได้ชม ทำผิดนิดเดียวก็โดนด่า นอกจากนี้ จะมีการสั่งซื้อเครื่องมือ เช่นเครื่องมือตรวจสอบใบหน้า ตรวจสอบลายนิ้วมือ ก็มีการวิจารณ์กันไปว่าแพงไปหรือไม่ ซึ่งต้องดูที่ขั้นตอนว่าถูกหรือไม่ กฎหมายว่าอย่างไร พอจะคิดอะไร ซื้ออาวุธอะไรก็ผิดหมด แล้วจะมาเรียกร้องอะไรจากตน แทนที่จะเอาเงินมาซื้อของเหล่านี้ให้เกิดความแข็งแรง ไม่ให้เงินรั่วไหลออกไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า สถานการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ดีขึ้นใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าถามว่าดีขึ้น มันก็ดีขึ้น ดีขึ้นจากสถิติ จากความร่วมมือ จากการที่ประชาชนเข้ามาให้ข่าว ให้ความร่วมมือมากขึ้น แต่คนที่ไม่ร่วมมันก็คือไม่ร่วม ซึ่งคนพวกนี้มีเจตนาอยู่แล้ว แต่เราต้องทำอย่างไรให้สังคม ให้คนที่ดี คนที่มุ่งหวังให้สังคมสงบสุข ทั้งคนไทยและมุสลิมมาช่วยกัน เราจะรบกันต่อไปได้หรือ ซึ่งในส่วนของการศึกษาในพื้นที่ ก็มีการเดินหน้าแก้ไข ทำทั้งหมด ให้ ศอ.บต.ลงไปทำ ทั้งงานพัฒนา กิจกรรมการศึกษา การบังคับใช้กฎหมาย การปรับปรุงกลยุทธ์วิธีต่างๆ การปรับแผนยุทธศาสตร์แต่ละปีๆ มีหมดแล้ว
“ปรับมาตลอด แต่ก่อนปรับไม่ได้อย่างนี้ เพราะอะไร เพราะ ศอบต.อยู่กับนายกรัฐมนตรีใช่มั้ย ทหารอยู่ใน กอ.รมน. ทหารอยู่กับนายกฯ แต่นายกฯ สั่งไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ยุทธวิธีทหาร แต่วันนี้ผมเป็นคนเดียว มันก็ดี ทำไมไม่ไปเปรียบเทียบก่อนหน้านี้กับวันนี้อะไรมันดีขึ้นอะไรมันแย่ลง”
ย้ำแผนที่แบบใหม่แก้ปมทับซ้อนของการจัดสรรที่ดินแต่ละหน่วย
เมื่อเวลา 10.25 น. พลเอกประยุทธ์ เป็นประธานเปิดโครงการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4,000 หรือ One Map และมอบนโยบาย ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นการประสานการทำงานของรัฐแบบบูรณาการแบบดิจิตัลเพื่อให้หน่วยงานรัฐใช้แผนที่แนวเขตที่ดินแบบเดียวกันที่ต่อไปจะเรียกว่า “เส้นวันแม็พ” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (กปนร.)
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดทำแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 ตารางกิโลเมตร ว่า แผนที่ดังกล่าวจะบังคับใช้ทุกที่ ไม่ใช่ใช้แค่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือทุกคนมีปัญหาของตัวเองทุกคนมีแผนที่ของตัวเอง แต่เวลาทำงานจัดผังเมือง เรื่องกรรมสิทธิ์ซื้อขาย ทำการเกษตร ทุกคนก็อนุมัติในกรอบของตัวเอง แต่แผนที่ไม่ตรงกัน ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมกัน เรากำลังแก้ทั้งประเทศไม่ใช่แค่ภูเก็ตหรือที่ไหนทั้งสิ้น
นายกฯ กล่าวอีกว่า ตอนนี้เป็นการเริ่มต้นกระบวนการว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดความขัดแย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างที่กล่าวอ้างกันว่าเอื้อประโยชน์กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ รีสอร์ทอะไรต่างๆ ตนมองรีสอร์ทไม่เห็นหรอกเพราะตนมองแต่แผนที่ รีสอร์ทอยู่ตรงไหนตนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นหลักการกฎกติกาและระเบียบของเขามีอยู่แล้วว่า ถ้าหากว่ามีเส้นที่มันเป็นสองเส้นไม่ตรงกันก็จะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่าให้เอาเส้นที่ใหญ่ที่สุด เส้นใหญ่ที่สุดคือเอาที่คืนมามากที่สุดเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น อย่าไปเชื่อคนกระทรวงนั้นกระทรวงนี้มาพูดยังงี้ เพราะเรากำลังจะให้มีตรงกลางให้ได้เพื่อเป็นบรรทัดฐาน อย่างที่อธิบายไปแล้วว่าทหารยังใช้แผนที่แบบ 1 : 50,000 ที่ใช้ในการเดินในระยะที่ไม่ไกลในการปฏิบัติการยุทธ์เป็นหลัก และมีแผนที่แบบ 1 : 250,000 ที่มีความละเอียดน้อย แต่ลองคิดดูว่า 1 : 4,000 จะละเอียดมากขึ้นหรือไม่ เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าเส้นไหนอยู่ตรงไหน เพราะเดิมที 1 : 50,000 มองไม่เห็นและลากเส้นไม่ได้ ยิงปืนใหญ่ได้ในระยะไม่เกิน 10 – 20 กิโลเมตรได้ เขามีความมุ่งหมายอย่าไปมองว่าจะให้ใครที่นั่นที่นี่ตรงนี้อาจจะได้คืนหรืออาจจะเสียก็ได้ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็บอกว่าถูกกฎหมายเพราะได้รับอนุญาตจากปีนั้นปีนี้ ตามกฎหมายฉบับนี้หน่วยงานนี้ แล้ว ตนถามว่ามันไปทาบทับกับหน่วยงานอื่นเขาหรือเปล่า
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ต้องมองภาพการแก้ปัญหาแบบองค์รวม ที่ตามไปด้วยการลงทุนพื้นฐานในการสาธารณูปโภค การบริหารจัดการน้ำ การเพิ่มอาชีพเพิ่มรายได้ นำไปสู่การโซนนิ่งพื้นที่การเกษตรกรรม การใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะถ้าทุกอย่างมันจะพันกันหมดทุกคนก็จะของบประมาณรัฐบาลก็จะใช้อย่างที่เห็น ดังนั้น ต้องจัดกลุ่มให้ได้ ทำพร้อมๆ กันจะได้นำไปสู่การบูรณาการงบประมาณแบบองค์รวม อย่าคิดแยกๆ แตกๆ เพราะไม่เกิดประโยชน์แล้วก็จะตีผมเป็นเรื่องๆ เพราะมันไม่เคยทำ พวกนี้ก็จะเอาเกษตรดีอย่างเดียว พวกนี้จะเอาค้าขายอย่างเดียว ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่จะกินในแผ่นดินนี้ทั้งหมด รัฐบาลมีหน้าที่เพียงในการบังคับใช้กฎหมายในการจัดสรรที่ดินให้เขาได้มาอย่างถูกต้อง ซึ่งตนให้คณะกรรมการจัดการที่ดินของรัฐบาลและ คสช.ไปดูว่าจะทำยังไงให้คนที่อยู่ในพื้นที่บุกรุกให้ทำกินได้ ไม่เช่นนั้นจะเรียกร้องตลอด และตนจะให้ทำกินได้ไปพลางก่อนโดยการใช้กฎหมายอื่น เช่น เช่าที่เพื่อการเพาะปลูก ไม่ได้ให้ที่ดินทำกินเป็นกรรมสิทธิ์ แต่รัฐบาลอื่นเข้ามาเขาอาจจะให้ก็ได้แต่ตนไม่รู้ แต่ถามว่าท่านจะเพียงพอไหมละ ถ้าวันหน้าทุกคนอยากมีหมดแล้วท่านจะให้เขาได้ไหม เราต้องสร้างสังคมที่ให้ความเข้าใจ นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นปัญหา
“สมัยก่อนเขามีนโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ทุกคนอยากได้ที่หมด ให้ไปแล้วเป็นยังไง ก็ขายต่อ วันนี้ไปดูสิมีเจ้าของจริงๆ ไม่กี่ที่ พอผมไปแตะเข้าก็บอกว่ารังแกคนจน คนที่ออกมาเคลื่อนไหวคือคนเหล่านี้ไง ก็ไปขับเคลื่อนที่เขามาถูกต้องว่าเดี๋ยวเขาจะมาจัดการนะขอให้จัดการนะ แต่ตัวเองน่ะได้ประโยชน์ ไอ้พวกนี้ตัวแสบทั้งนั้น”
