ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160117/220721.html
‘มีชัย’ระบุร่างรธน.รับรองการยึดอำนาจของ’คสช.’ แต่ไม่มีผลให้ลบความผิดกรณีทุจริต ‘บุญเลิศ’ติงกมธ.ปฎิรูปสื่อฯสปท. ลักไก่ เสนอ พ.ร.บ.กสทช. วอน สปท. โหวตคว่ำ
17ม.ค.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) วาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ในวันสุดท้าของการพิจารณานอกสถานที่ที่ จ.เพชรบุรี ว่าที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเสร็จทั้ง 261 มาตรา ที่ครอบคลุมใน 13 หมวด แต่ยังไม่รวมบทบัญญัติในส่วนของบทเฉพาะกาล
โดยเมื่อเวลา 11.20 น. นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. แถลงผลการประชุมรวมถึงตอบคำถามของสื่อมวลชน ว่า ในส่วนของบทเฉพาะกาลจะนำกลับไปพิจารณาที่รัฐสภาในช่วงสัปดาห์หน้า เพราะมีเนื้อหาและประเด็นที่กรธ.ต้องพิจารณาและพูดคุยกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่บทบัญญัติในบทเฉพาะกาลมาตราสุดท้ายที่รองรับการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้นต้องมีตามปกติ เพราะทุกรัฐธรรมนูญได้เขียนกำหนดไว้ ทั้งนี้การรองรับการกระทำของคสช. จะรองรับเฉพาะการกระทำที่ถูกต้อง ให้มีผลบังคับใช้ได้ต่อไปเท่านั้น โดยไม่รวมถึงการกระทำที่ทุจริต เพราะหากผู้ใดที่ทำทุจริตหรือทำผิดยังถือว่าทำทุจริตอยู่ ทั้งนี้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาในมาตราดังกล่าวไม่มีบทที่เป็นข้อยกเว้นใดๆ สำหรับการกระทำที่ทุจริตแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตามการกระทำที่คสช.ปฏิวัติมานั้น ถูกยกเว้นให้แล้วในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 สิ่งที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำคือรับช่วงต่อจากรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ2557 ส่วนบทบัญญัติมาตราสุดท้าย หากฝ่ายการเมืองจะยกเลิกสามารถทำได้ แต่ไม่เกิดประโยชน์
“สำหรับประชาชนที่ไม่เห็นด้วย แม้จะอธิบายเขาก็ยืนยันในมุมมอง ผมมองว่าในความไม่เห็นด้วยดังกล่าวเป็นประเด็นต่อสู้ที่บิดเบือนความจริง เช่น มีผู้บอกว่ากรธ.ทำผิดที่บัญญัติให้นายกฯ มาจากบุคคลภายนอกได้ ซึ่งกรธ.อธิบายให้ฟังไปแล้ว แต่คนเหล่านั้นยังไม่เข้าใจ เปรียบเทียบได้กับที่ตนบอกว่า อยากกินอะไรให้สั่งเอาเอง แต่มีหนูโวยวายว่า รู้ว่าหนูไม่กินเนื้อทำไมไม่ห้าม ไม่ให้หนูสั่งเนื้อ ตนก็บอกไปว่าไม่กินเนื้อ ก็อย่าสั่งเนื้อ แต่ยังโวยวายไปต่อว่า แล้วทำไมไม่สั่งหนูตั้งแต่แรก ซึ่งจะพูดแบบนี้ว่าทำไมไม่ห้ามตั้งแต่แรก ซึ่งผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดังนั้นบางเรื่องก็สุดไม้ถ่อที่จะอธิบายได้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในใจ หากคนไปเข้าใจผิดแล้วไปลงประชามติอีกอย่างตามที่มีผู้ชักจูงใจ ต้องไปโทษคนพวกนั้น และคนพวกนั้นต้องรับผิดชอบ จะมาโทษพวกผมไม่ได้ ส่วนประชามติจะผ่านหรือไม่ผมตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตามประเด็นข้อสงสัยผมพร้อมจะอธิบายและชี้แจงรวมถึงตอบข้อซักถามกับสื่อมวลชน แต่เมื่อสื่อมวลชนได้ข้อมูลแล้ว ช่วยชำเลืองมองคนที่อยู่ข้างในอย่าไปเขียนบิด เพราะถือว่าไม่สุจริตต่อกัน” นายมีชัย กล่าว
นายมีชัย กล่าวถึงรายละเอียดที่จะเขียนไว้ในบทเฉพาะกาล อาทิ การกำหนดให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับสำคัญๆ ประมาณ 10 ฉบับ อาทิ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ที่เป็นกลไกและมาตรการป้องกันการทำนโยนบายประชานิยม ที่ไม่สามารถนำมาเขียนเป็นกลไกในรัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นต้องกำหนดให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลใช้ก่อนการเลือกตั้ง, การกำหนดระยะเวลาเลือกตั้งภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้, การดำรงอยู่ของกรรมการในองค์กรอิสระที่ถูกแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา ทั้งนี้ในส่วนของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีบทบัญญัติปรับส่วนคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามของกรรมการองค์กรอิสระที่บทต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา ดังนั้นต้องกลับไปพิจารณาว่ากรรมการในองค์กรใดจะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อ หรือสิ้นอายุไป ทั้งนี้ต้องดูวาระการดำรงตำแหน่งที่เหลืออยู่ด้วย
ประธานกรธ. กล่าวย้ำถึงสาระสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า ได้ปรับบทบัญญัติที่เคยเขียนโดยให้อำนาจมาก่อนหน้าที่ จะปรับให้หน้าที่มาก่อนการใช้อำนาจ เพื่อสร้างความตระหนักของการทำหน้าที่มากกว่าการมีอำนาจ นอกจากนั้นได้ให้ความสำคัญกับการทุจริตการบริหารงาน ฝ่ายการเมือง และฝ่ายประจำ จึงมีเนื้อหาที่เข้มข้น อาทิ การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามจำนวนมาก, สกัดคนที่ทุจริตในเรื่องสำคัญไม่ให้ยุ่งเกี่ยวการเมือง โดยเฉพาะการทุจริตต่อหน้าที่, ทุจริตการเลือกตั้ง หรือ ประเด็นที่พบการร่วมมือทุจริตทุกองคาพยน เช่น การจัดสรรงบประมาณให้ส.ส. นำไปใช้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ร่วมมือของ ส.ส., ส.ว. สำนักงบประมาณ, กระทรวง ทบวง กรม และ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดได้กำหนดบทแซงชั่นว่า ต่อไปนี้หากใครทำ ต้องพ้นจากหน้าที่ หากสภาผู้แทนราษฎร อนุมัติงบประมาณในลักษณะดังกล่าว ต้องพ้นไปทั้งสภาฯ, หากครม. อนุมัติโครงการลักษณะดังกล่าว ครม. ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
“ผู้มองว่ากรณีที่กรธ. กำหนดบทบัญญัตินี้ทำให้รัฐบาลบริหารงานลำบาก ผมคิดว่าหากลำบากเพราะไม่ยอมให้ทุจริต ก็ต้องยอมให้รัฐบาลลำบาก แต่หากรัฐบาลไม่คิดทุจริต หรือหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญอย่างที่เคยทำมา ไม่ลำบากอะไร เพราะร่างรัฐธรรมห้ามไม่ให้จัดสรรงบประมาณให้ส.ส. หรือ ให้ส.ส.เข้ามาใช้จ่ายเงินงบประมาณ ดังนั้นครม. ต้องไม่ทำ หากครม. ทำแต่หากเขาทำแล้วจะมาบอกว่าเราสร้างความลำบาก ก็ไม่มีเหตุผลใดอธิบายให้ประชาชนฟังได้ และเพื่อให้กลไกขจัดทุจริตเกิดผลแท้จริงได้กำหนดมาตรฐานการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระให้มีมาตรฐานสูงและวิธีการทำงานที่คล่องตัวมากขึ้น และปรับเงื่อนไขให้ทำงานได้รวดเร็ว ทันการณ์ เพื่อให้คนกลัวการทำผิด” นายมีชัย กล่าว
นายมีชัย กล่าวด้วยว่าสำหรับบทบัญญัติที่เป็นการควบคุมหรือการกำกับการใช้อำนาจรัฐและถ่วงดุลการปฏิบัติหน้าที่นั้น ร่างรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ในการบริหารราชการแผ่นดินครม. ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ,กฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1.ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผยและมีความระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม 2.ใช้จ่ายเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด, 3.ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี, 4.สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข, 5.คุ้มครองป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงกิจการภายในของชาติ
“ถือเป็นครั้งแรกที่กำหนดกรอบการทำงานของ ครม. ส่วนที่เกี่ยวกับการกระทบกับประชาชนจะอยู่ในหมวดหน้าที่ของรัฐ ส่วนประเด็นการแบ่งแยกอำนาจของส.ส.ที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไม่ให้ใช้อำนาจสร้างประโยชน์ตนเองนั้นมีบทบัญญัติที่กำหนดด้วยว่าต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่ละบทบาทและแต่หน้าที่ถูกห้าม เมื่อเป็น 2 อย่างก็ต้องถูกห้ามสองซ้อน โดยมีบทห้ามไว้แล้ว” นายมีชัย กล่าว
นายมีชัย กล่าวด้วยว่าในประเด็นของการบัญญัติศาสนาพุทธไว่ในร่างรฐธรรมนูญ ที่มีผู้เรียกร้องให้บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเพื่อให้พ้นจากการบ่อนทำลาย ซึ่งแทนที่กรธ.จะเขียนไว้ตามข้อเสนอ ก็ได้เขียนบังคับให้เป็นหน้าที่ของรัฐว่าฐานะที่ศาสนาพุทธที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพนับถือมาช้านาน รัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครองให้พ้นการบ่อนทำลายทุกรูปแบบ ภายในและภายนอก เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดปัจจุบันที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการป้องกันกันศาสนาพุทธด้วยกัน
กมธ.ปฎิรูปสื่อฯสปท. ลักไก่ชงพรบ.กสทช.
นายบุญเลิศ คชายุทธเดช อดีตสมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า การประชุมสปท.วันที่18มกราคม มีวาระพิจารณาเป็นเรื่องแรก คือแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือร่างกฏหมายกสทช. เสนอโดยคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ขับเคลื่อนการปฎิรูปด้านสื่อสารมวลชน สปท. ตนไม่เข้าใจว่า กมธ.เสนอเข้ามาได้อย่างไร ในเมื่อเป็นร่างของกระทรวงไอซีที กมธ.ทำแบบนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดและน่าเกลียดมาก อีกทั้งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ร่างแรกของรัฐธรรมนูญ ก็ยังสับสนไม่รู้จะเป็นอย่างไร ช่วงรับฟังความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกสทช.และรัฐบาล ใครมีหน้าที่อะไรอย่างไรต่อการจัดสรรและกำกับคลื่นและวงโคจรอุปกรณ์การสื่อสาร คงจะมีเสียงสะท้อนออกมาอย่างแน่นอน
นายบุญเลิศ กล่าวอีกว่า ความจริงวิปสปท.ไม่ควรให้นำมาบรรจุระเบียบวาระ แต่เมื่อบรรจุเข้ามาก็หวังว่าสปท.จะอภิปรายคัดค้าน แล้วเรียกร้องให้ถอนกลับไป ถ้าไม่ถอนก็ควรลงมติคว่ำร่างนี้ก่อนจะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งวุ่นวาย
โฆษกรบ.แจงสเปคโฆษกกระทรวงที่บิ๊กตู่ต้องการ
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเนชั่นถึงความคืบหน้าในการแต่งตั้งโฆษกกระทรวง เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้แต่งตั้งเมื่อการประชุมครม.เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งผ่านมาแล้ว2 สัปดาห์ว่า ตนไม่ได้ติดตามเรื่องแต่งตั้งโฆษกกระทรวง แต่เรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พูดในที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ให้ครม.รับทราบและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็สั่งการถือเป็นข้อสั่งการและเป็นมติครม.ว่าทุกกระทรวงต้องไปคัดเลือกโฆษกกระทรวง โดยรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ แล้วให้ส่งรายชื่อทั้งหมดมาที่คณะรัฐมนตรีเพื่อให้ทุกท่านรับทราบ เพราะของเดิมรัฐมนตรีอาจจะตั้ง ปลัดอาจจะตั้ง แต่ครม.ก็ไม่ได้รับทราบว่าใครเป็นโฆษกกระทรวงไหน มีหน้าที่ในการปฏิบัติแต่ผ่านมาระยะหนึ่งก็ไม่ได้ปฏิบัติเต็มที่ ดังนั้นการบีบบังคับให้ปฏิบัติเต็มที่คือทำให้ดูเป็นทางการว่าครม.ได้เห็นชอบรายชื่อโฆษกทุกกระทรวง มีตัวตน มีหมายเลขโทรศัพท์ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ประสานงานระหว่างโฆษกกระทรวงกับโฆษกรัฐบาล เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นใคร มีตัวเลือกมากขึ้น
ส่วนการปฏิบัติตัวของโฆษกกระทรวง พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ทุกคนต้องเข้าถึงแหล่งข้อมูลของตัวเองให้ชัดเจน เช่น เป็นโฆษกของกระทรวง ในกระทรวงฯมีหลายกรม อย่าไปคิดว่าตัวฉันมาจากกรมนี้แล้วได้ข้อมูลแค่กรมเดียวก็ไม่ได้ คุณก็ต้องทำหน้าที่ในการประสานข้อมูลของทุกกรมภายในกระทรวง ต้องเป็นคนที่พูดแทนรัฐมนตรี พูดแทนปลัดกระทรวง พูดแทนอธิบดีทุกกรมได้ และทุกกรมเมื่อรู้ว่าคนนี้คือโฆษกกระทรวงของเราที่ทำหน้าที่เวลาเขามาติดต่อขอข้อมูลก็ต้องให้ข้อมูลเขา ตรงนี้จะทำให้มีช่องทางในการชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมามันจะมารวมศูนย์ที่ตรงกลาง เช่น วันนี้ครม.เห็นชอบในร่างกฎหมายนี้ หลักการสำคัญเป็นอย่างนี้ แต่ว่าพอออกเป็นกฎหมายแล้วไม่ใช่ว่ามันจบแล้ว เพราะตามขั้นตอนต้องผ่านสภาฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา บางฉบับมีผลบังคับใช้ทันที บางฉบับต้องรอเวลา 60 วันหรือ 180 วัน หรือ 360 ซึ่งจุดนี้บางครั้งสังคมลืมไปแล้ว
“อย่างกฎหมายมรดก ก็จะมีผลบังคับใช้ภายในกุมภาพันธ์นี้ ดังนั้นใกล้ๆที่กฎหมายฉบับนี้จะบังคับใช้โฆษกกระทรวงหรือทีมของกระทรวงจะต้องออกมาชี้แจงกับสังคมให้ได้ว่ากฎหมายนี้เคยผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง ผ่านครม.เมื่อไร ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เมื่อไร มีการปรับปรุงอย่างไร สาระสำคัญเป็นอย่างไร จะมีการประกาศใช้วันไหน พี่น้องประชาชนที่มีคุณสมบัติแบบนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร เพราะถ้าไม่แจ้งเตือนแบบนี้ บางครั้งคนไม่รู้ แล้วก็ฝืนและมึนไป ก็กลายเป็นว่าประชาชนทำผิดกฎหมายโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย แล้วกฎหมายเป็นอะไรที่อ้างไม่ได้ว่าไม่รู้ ดังนั้นเพื่อให้คนไม่ทำผิดกฎหมาย สังคมรับรู้ ช่วยชี้แจงส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงตัวเอง ไม่ใช่เอาทุกอย่างมารวมที่ศูนย์หมด เชื่อว่าจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้การทำความเข้าใจกับสังคมดีมากขึ้น”
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี จะมีเวลาว่างมากขึ้น ท่านนายกฯบอกว่าเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะทางที่บางครั้งคนเป็นโฆษกก็ไม่สามารถอธิบายชี้แจงได้เข้าใจได้ เพราะถ้าเป็นข้อมูลลึกท่านจะต้องช่วยโฆษกอธิบายเพิ่มเติมด้วย เพราะทุกคนต้องทำหน้าที่ทั้งการบริหาร บังคับบัญชาและทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ด้วย ส่วนการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงฯจะเสนอเข้าครม.ได้เมื่อไรนั้น ตนตอบไม่ได้ แต่ว่านายกสั่งการไปแล้ว ดังนั้นการทำความเข้าใจกับสังคมเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ ในเมื่อรับภารกิจไปแล้วทุกคนก็ต้องเฟ้นหาคนของตัวเองแล้วรีบเสนอครม.โดยเร็ว
“แต่นายวิษณุยังเสนอในที่ประชุมว่า จะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ประสานหรือเป็นโฆษกของกลุ่มคลัสเตอร์ด้วยนะ คล้ายๆเป็นเหมือนกับเป็นโฆษกของกลุ่มงาน เพราะบางเรื่องมันต้องบูรณาการกัน เช่น กลุ่มเศรษฐกิจ ที่ประกอบด้วยหลายกระทรวง อาจจะต้องมีโฆษกของกลุ่มงานเศรษฐกิจหรือไม่ ก็ต้องลองพิจารณาดู หรืออาจจะเป็นการตั้งผู้ประสานงานว่ากรณีอย่างนี้มีความเกี่ยวพันกับกระทรวงไหนบ้าง จะต้องมีผู้ประสานงานหรือหาโฆษกสักกระทรวง แต่ไม่ใช่ลักษณะที่บอกว่าโฆษกของเราเกี่ยวพันมากที่สุดจะต้องทำหน้าที่ประสาน ก็จะเป็นความยากในการทำงาน ก็ต้องไปพิจารณาดู”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
