‘รถหรู’ปมร้อนตั้ง‘สังฆราช’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160125/221148.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2559
‘รถหรู’ปมร้อนตั้ง‘สังฆราช’

‘รถหรู’ ปมร้อนตั้ง ‘สังฆราช’ : โดย…ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย

      เมื่อรถเบนซ์โบราณในพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ถูกโหมกระพือจนกลายเป็นประเด็นของความไม่เหมาะสมต่อการเสนอชื่อ “สมเด็จช่วง” เป็นสังฆราช ทำให้กรณีรถหรูจดประกอบเลี่ยงภาษี ถูก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เจ้ากระทรวงตาชั่งจี้ถามไปยัง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ว่าเหตุใดการสอบสวนนานกว่า 2 ปี ยังไม่แล้วเสร็จ ปล่อยให้ยืดเยื้อจนกลายมาเป็นปัญหาให้แก่รัฐบาลชุดนี้อีกแล้ว โดยคำสั่งการอย่างเดียวของ “บิ๊กต๊อก” คือ ไปทำให้เสร็จ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ถ้าผลสรุปจะต้องออกมาช่วงนี้ ก็ต้องออก
      ก่อนนำเข้าสู่ประเด็นของเบนซ์คลาสสิกของสมเด็จช่วง “ขอย้อนรอย” ให้เห็นถึงรูปแบบการนำเข้ารถยนต์หรูของชนชั้นไฮโซ ซึ่งนิยมความหรูหรามีระดับ แต่ไม่อยากจ่ายภาษีแพง ทำให้มีขบวนการลักลอบนำเข้ารถยนต์ 3 รูปแบบหลัก หมุนสลับสับเปลี่ยนวิธีการไปมา ขึ้นอยู่กับการเข้มงวดตรวจจับของทางราชการ โดยมีเส้นทางนำเข้ารถยนต์จากประเทศในแถบยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งใช้รถพวงมาลัยด้านขวา เพื่อไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการย้ายพวงมาลัยให้เข้ากับสภาพการจราจรของเมืองไทย
      กลุ่มแรกเป็นรถ “เกรย์มาร์เก็ต” ความหมายตรงตัวคือตลาดสีเทา กลุ่มนี้จะมีคนไทยร่วมกับชาวต่างชาติ ทำใบอินวอยซ์ปลอมสำแดงราคาตํ่าเกินจริง นำไปสู่ประเมินอัตราภาษีตํ่า เช่น นำเข้ารถจากยุโรปที่ใช้สกุลเงินปอนด์หรือยูโร หรือญี่ปุ่นที่ใช้สกุลเงินเยน แต่ทำใบเสร็จ หรือใบอินวอยซ์ปลอมเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนต่างกัน ทำให้รถยุโรปหรูในตลาดเกรย์ ซื้อขายกันในราคาใกล้เคียงกับรถหรูในแบรนด์ประเทศญี่ปุ่นและเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไปยังบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ในประเทศต้นทาง ก็ได้คำยืนยันชัดว่าใบอินวอยซ์เป็นของปลอม
      กลุ่มที่ 2 “รถนักเรียน” เป็นการสวมใช้สิทธิจากนักเรียนไทยหรือคนไทยในต่างแดน ที่ได้สิทธินำเข้ารถยนต์ที่ใช้งานในต่างประเทศ โดยวิธีการนี้เสียภาษีแค่ 30% เพื่อนำเข้ารถยนต์ใหม่ที่สำแดงเท็จเป็นรถมือสอง เข้ามาขายในตลาดเกรย์มาร์เก็ตเช่นกันแต่รูปแบบนี้มีข้อห้ามโอนเปลี่ยนมือเป็นเวลา 3 ปี ตลาดจึงจำกัดวงแคบอยู่กับกลุ่มลูกค้าเก่า ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันสูง
      และ กลุ่มที่ 3 “รถจดประกอบ” ซึ่งเรื่องแดงเอาเมื่อกลางปี 2556 จากเหตุไฟไหม้รถหรู 6 คันในท้องที่ สภ.กลางดง จ.นครราชสีมา ขณะขนส่งไปจดทะเบียนที่ จ.ศรีสะเกษ พิรุธสำคัญคือ รถซูเปอร์อย่างเฟอร์รารี่ ลัมโบร์กินี่ ที่ถูกไฟไหม้วอดติดตั้งถังก๊าซ แฉให้เห็นถึงกรรมวิธีในการทำเอกสารที่แยบยล สำแดงนำเข้าเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ แต่รถที่นำเข้ามีเลขเครื่องยนต์ เลขตัวถัง และชุดเกียร์ เป็นซีรีส์เดียวกัน จึงชี้ชัดว่าเป็นการนำเข้ารถยนต์ทั้งคันแต่ทำเอกสารสำแดงเท็จเพื่อเสียภาษีตํ่าในอัตรา 70% จากอัตราภาษีจริง 300%
      ในขั้นตอนแจ้งจดทะเบียน ยังมีการวางถังก๊าซตบตา จดแจ้งว่าใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เพื่อเลี่ยงไม่ไปสรรพาสามิตตรงดิ่งไปที่ขนส่งทางบกได้เลย โดยมีข้อมูลวงในให้ไปจดทะเบียนในกลุ่มจังหวัดที่มีการอำนวยความสะดวกให้เป็นพิเศษ เช่น ศรีสะเกษ สระบุรี นนทบุรี เป็นต้น หลังได้แผ่นป้ายทะเบียน ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการ เจ้าของรถยนต์จะถอดถังก๊าซออกและแจ้งยกเลิกการใช้ก๊าซ เพราะไม่มีรถซูเปอร์คาร์หรือเบนซ์หรูคันใดใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน
      ขณะที่เอกสารการจดประกอบก็เป็นหลักฐานส่วนหนึ่งที่มัดขบวนการฟอกรถ โดยพบว่า “อู่ประกอบรถ” ที่ระบุชื่อเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ในเอกสารสำแดงการนำเข้า ใช้เวลาประกอบรถซูเปอร์คาร์จากชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ เพียง 3-7 วัน ซึ่งวิศวกรจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์ลงความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ ที่ทำได้คงมีแต่ในภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์ ชุด เดอะฟาสต์แอนด์เดอะฟิวเรียส เร็ว แรง ทะลุนรก อีกทั้งในการตรวจค้นอู่ประกอบรถก็ไม่พบเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบรถ
      ทั้งนี้ ระเบียบที่เปิดให้สามารถนำเข้ารถจดประกอบ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2535 มีวัตถุประสงค์เพื่อเอื้อให้แก่การนำเข้าชิ้นส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ รถบัส หรือรถยนต์เก่าที่คนไทยพอมีขีดความสามารถนำมาประกอบใช้งานในต่างจังหวัดได้ แต่ระเบียบและหลักเกณฑ์ดังกล่าว ถูกนำมาใช้นำเข้ารถยนต์หรู เพื่อเลียงการจ่ายภาษีให้แก่ประเทศ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ระหว่างปี 54-56 มีการแจ้งนำเข้ารถจดประกอบมากถึง 6,575 คัน ประเทศต้องสูญเสียรายได้ให้แก่การนำเข้ารถยนต์เลี่ยงภาษีนับหมื่นล้านบาท
      ในเดือนมิถุนายน 2556 “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จึงมีคำสั่งห้ามจดทะเบียนให้แก่รถยนต์ที่แจ้งนำเข้าเป็นรถจดประกอบเฉพาะรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง ถือเป็นการปิดช่องโหว่ของกฎหมายเกี่ยวกับการนำเข้ารถจดประกอบเลี่ยงภาษี
      แม้การนำเข้ารถจดประกอบจะ “ปิดฉาก” ลงไปแล้ว แต่การดำเนินคดีของดีเอสไอยังไม่จบ รถจดประกอบลอตแรก 548 คัน ยังรอการประเมินภาษีส่วนที่ขาดจากศุลกากร เมื่อใดที่ระบุชัดเจ้าของรถต้องนำมาจ่ายให้ครบ มิเช่นนั้นจะถูกระงับทะเบียนและตามยึดรถ เพื่อดำเนินการตรวจสอบรถจดประกอบที่เหลืออีก 6,027 คัน ในจำนวนดังกล่าว มีเบนซ์คลาสสิก หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร รวมอยู่ด้วย ซึ่งรถคันนี้มีชื่อสมเด็จช่วงเป็นผู้แจ้งครอบครอง ระบุชนิดเชื้อเพลิงเป็นก๊าซ สำแดงราคานำเข้าประมาณ 1 ล้านบาทเศษ ในการตรวจค้นตามหมายค้นไปยังสถานที่ที่จดแจ้งเป็นผู้นำเข้าตัวถังรถยนต์มีสภาพปิดร้าง ผู้นำเข้าเครื่องยนต์เป็นร้านขายอะไหล่มือสองและอุปกรณ์ประดับยนต์ ส่วนอู่ประกอบรถแม้มีใบอนุญาตถูกต้อง แต่มีสภาพเป็นเพียงอู่ซ่อมสีและตัวถัง
      ขณะที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ประสานมายังดีเอสไอเพื่อส่งมอบเอกสารการจดทะเบียนรถให้ตรวจสอบ รวมทั้งเปิดพิพิธภัณฑ์ให้สื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์ว่า เบนซ์คลาสสิก ไม่ใช่รถหรู แต่เป็นรถยนต์เก่าอายุ 60-70 ปี ซึ่งสมเด็จช่วงมีดำริให้นำมาจัดแสดงให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีเครื่องใช้และของมีค่าอื่นๆจำนวนมาก อาทิ เรือ รถม้า รถสามล้อถีบ พร้อมยืนยันอย่างหนักแน่นว่า สมเด็จช่วงไม่ได้เป็นผู้ซื้อรถยนต์คันนี้ แต่มีญาติโยมซื้อแล้วนำมาถวาย ซึ่งในชั้นนี้ยังขอปกปิดชื่อผู้ถวาย
      นับถอยหลังอีกไม่ถึง 30 วัน ยังต้องติดตามว่าพยานบุคคลที่ดีเอสไอเรียกสอบ ผนวกเข้ากับพยานเอกสาร และการนำวิศวกรเข้าตรวจสอบสภาพทางกายภาพของเบนซ์คลาสสิก ภายในพิพิธภัณฑ์วัดปากนํ้า จะได้ผลสรุปออกมาอย่างไร ส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่สังคมก่อนที่จะนำไปสู่การเสนอชื่อแต่งตั้งพระสังฆราช
      โดยดีเอสไอจะตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงเฉพาะประเด็นการนำเข้ารถเบนซ์คลาสสิกว่า เป็นการแยกชิ้นส่วนนำเข้าจริงหรือนำเข้าทั้งคันเพื่อเลี่ยงภาษี, ราคา 1 ล้านบาทเศษที่สำแดงประกอบการประเมินภาษีตรงตามราคาแท้จริงหรือไม่ เอกสารต่างๆที่นำมายืนยันตั้งแต่การสำแดงนำเข้าไปจนถึงการจดทะเบียนใช้งานรถยนต์เป็นเอกสารจริงหรือทำปลอมขึ้น และอู่ประกอบรถในเมืองไทยมีขีดความสามารถในการประกอบเบนซ์คลาสสิกอายุกว่า 60 ปี ที่ถูกถอดชิ้นส่วนบรรทุกลงเรือมาได้จริงหรือไม่
      ซึ่งในประเด็นเหล่านี้ หากผลการตรวจสอบพบความผิด ผู้ซื้อหรือผู้ครอบครองมือสุดท้ายได้รับความคุ้มครองตามหลักบริสุทธิ์เพราะย่อมไม่รู้ว่าผู้ขายมีวิธีการนำเข้าอย่างไร แต่สิ่งที่ผู้ซื้อและผู้ครอบครองมือสุดท้ายต้องรับผิดชอบ คือชำระภาษีในส่วนที่ชำระไว้ขาด แล้วไปฟ้องแพ่งไล่เบี้ยเอากับผู้ขาย
      ส่วนประเด็นในทาง “ธรรม” เป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคม(มส.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ต้องนำไปพิจารณาดำเนินการ เพราะการตกเป็นประเด็นวิพากษ์ในสังคมวงกว้างเช่นนี้ อาจเป็นภาวะ “ไร้ซึ่งสโมสรศรัทธา ต่อตำแหน่งประมุขสงฆ์เสียแล้ว”
      และหากนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน คำวิจารณ์ถึงพฤติการณ์การรับของผิดกฎหมายไว้ในความครอบครองของสงฆ์ แล้วไม่ส่งคืนให้ทางราชการ ถือว่ายินดีรับไว้ ในทางสงฆ์เทียบเคียงได้กับการรับของโจรของฆราวาส ซึ่งต้องปาราชิกสิกขาบท ถูกปรับให้อาบัติสถานการณ์ของพระเถระผู้ใหญ่ยิ่งมีแต่ลบ
      ประเด็นรถจดประกอบจึงผูกโยงกับการเสนอชื่อแต่งตั้งสังฆราชชนิดตัดกันไม่ขาด

Leave a comment