ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160117/220683.html
การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2559
คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ‘รัฐฮุบสื่อ’ ?…ผ่านร่าง รธน. : โดย…โอภาส บุญล้อม
“หมกเม็ด” หรือไม่ กับการที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้โยกเรื่อง “คลื่นความถี่” จากหมวด “สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย“ ไปอยู่หมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” และเปลี่ยนสถานะของคลื่นความถี่จาก “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ”
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญทั้งปี 2540 และปี 2550 ได้บัญญัติเรื่อง “คลื่นความถี่” ไว้ในหมวด “สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย” โดยในรัฐธรรมนูญปี 2540 อยู่ในมาตรา 40 ส่วนในรัฐธรรมนูญปี 2550 อยู่ในมาตรา 47
มีใจความในวรรคแรกว่า “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” ส่วนในวรรคสอง มีเนื้อหาใจความว่า “ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่งและกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม”
นำมาซึ่งการก่อกำเนิด “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กสทช.) ซึ่งเป็น “องค์กรอิสระ” ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ ออกใบอนุญาต ให้แก่ผู้ประกอบการด้านสื่อ ทำให้ “คลื่นความถี่” ไม่ตกอยูในมือของ “รัฐ” แต่เพียงผู้เดียวเหมือนแต่ก่อน
ดังนั้น การที่ “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ย้ายหมวด และใช้คำว่า “คลื่นความถี่ฯ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” นั้น ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า จะทำให้คลื่นความถี่ฯ ตกไปอยู่ในมือของ “รัฐ” เหมือนในอดีตหรือไม่
“คำนูณ สิทธิสมาน” สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กของเขา แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้
ระบุว่า “คลื่นความถี่“ เป็น “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” และให้มี “องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ” ทำหน้าที่จัดสรรฯ และกำกับ ซึ่งหลักการทั้งสองเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการต่อสู้เดือนพฤษภาคม 2535 ที่เกิดการปิดกั้นข่าวสาร จึงเกิดกระแสรณรงค์ให้เกิดสื่อเสรี กระทั่งเปลี่ยนหลักการสำคัญว่า คลื่นความถี่ไม่ใช่ของรัฐ แต่เป็นของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ และนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ ปี 2550
ดังนั้นเห็นว่า หลักการใดก็ตามที่ถูกบัญญัติไว้ในหมวด “สิทธิ” แปลว่าเมื่อรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับแล้ว หลักการนั้นจะเป็นผลเต็มร้อยทันที รัฐมีหน้าที่ต้องกระทำต้องจัดให้ ประชาชนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิทางศาลทันที ซึ่งต่างกับหมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” ที่เป็นกรอบให้รัฐออกนโยบายปฏิบัติแต่รัฐจะทำเมื่อไร แค่ไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
“คำนูณ” ยังชี้ให้เห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่น่าจะกระทบหลักการ คือ 1.เปลี่ยนสถานะของคลื่นความถี่จาก “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” 2.เปลี่ยนองค์กรกำกับฯ จากองค์กร “อิสระ” เป็นองค์กร “ที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่” และเป็นถ้อยคำที่น่าจะกระทบหลักการและยังเสมือนไปสอดคล้องกับภาพรวมของชุดร่างกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัล 10 ฉบับ ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อต้นปีที่แล้ว รวมทั้งร่างกฎหมาย กสทช.ฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาลดความเป็นองค์กรอิสระของ กสทช.ลงโดยเสมือนให้อยู่ในกำกับของคณะกรรมการเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “พูดง่ายๆ ว่า เสมือนนำคลื่นความถี่และการจัดสรร รวมทั้งการกำกับกลับไปอยู่ในมือของรัฐอย่างเนียนๆ”
“คำนูณ” ได้กล่าวถึงเจตนาที่โพสต์ข้อความดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กว่า เพื่อบอกให้ กรธ.ได้รับทราบว่า คลื่นความถี่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ปี 2535 และได้ลงหลักปักฐานตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ดังนั้นถ้ามีการแก้ไขแล้วไปขัดกับหลักการเดิมก็น่าเป็นห่วง

“อะไรก็ตามที่อยู่ในหมวดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เท่ากับว่ารัฐต้องมีหน้าที่ปฏิบัติ หากรัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประชาชนสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและทางศาลได้ ผมเห็นว่า คลื่นความถี่อยู่ในหมวดนี้ น่าจะดีที่สุด”
ขณะที่ “นรชิต สิงหเสนี” โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า ได้มีการย้าย “คลื่นความถี่” จาก หมวด “สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย” ไปอยู่ในหมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” จริง แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั้นนี้
“แต่ไม่ว่า ”คลื่นความถี่“ จะอยู่ตรงหมวดไหน หลักการสำคัญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็คือ คลื่นความถี่เป็นของประชาชนเป็นของชาติ ไม่ใช่ให้คลื่นความถี่กลับไปเป็นของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ เช่น กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ เหมือนในอดีต ผมยืนยันได้ตรงจุดนี้ ส่วนผู้ดูแลคลื่นก็ต้องทำเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเช่นกัน หมายความว่า กสทช.ก็ยังเป็นองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ออกใบอนุญาตให้แก่เอกชน ประชาชน ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไป และเอกชน สามารถได้รับสัมปทานและบริหารคลื่นได้เองเหมือนเดิม และสิทธิเสรีภาพของสื่อในการแสดงความคิดเห็นในการเขียนในการพูดในการวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ถูกลิดรอน มีสิทธิเหมือนเดิมทุกประการ และยืนยันว่า ที่ผ่านมาในเรื่องคลื่นความถีี่ไม่เคยมีใบสั่งจาก คสช.ขอมาด้วยเหตุผลของความมั่นคงแต่อย่างใด”
อย่างไรก็ตาม จากการที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้เปลี่ยนแปลงในเรื่องคลื่นความถี่ทั้งการย้ายหมวด และใช้ถ้อยคำที่เปลี่ยนไปจาก “ทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” นั้น ทำให้มีความเห็นตามมาจากทั้งนักวิชาการ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการ กสทช. และสื่อ ในทิศทางที่แสดงความห่วงใย
“รศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันทน์” อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกจากจังหวัดและวิชาชีพ ตอนนั้นมีการถกเถียงกันในที่ประชุมของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญว่า จะใช้คำว่า คลื่นความถี่เป็น “ทรัพยากรของชาติ” หรือ “ทรัพยากรสาธารณะ” นำมาซึ่งการพบกันครึ่งทาง โดยใช้คำว่า คลื่นความถี่เป็น “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ”
“ก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2540 คลื่นถวามถี่เป็นของรัฐ หน่วยงานของรัฐ เช่น กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเจ้าของ เป็นผู้ยึดถือคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมด และรัฐเป็นผู้เลือกว่าจะให้เอกชนหรือประชาชนรายใดเข้ามาเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ทำให้เอกชนหรือประชาชนไม่สามารถบริหารคลื่นความถี่ได้เอง แต่จากการต่อสู้ในเดือนพฤษภาคม 2535 และปรากฏว่ามีการปิดกั้นข่าวสาร เพราะรัฐเป็นผู้ยึดถือคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมด จึงเกิดกระแสรณรงค์ให้เกิดสื่อเสรี และนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 และเกิด กสทช.เป็นองค์กรอิสระจัดสรรคลื่นความถี่ในปี 2553 ทำให้เอกชน ประชาชน ได้รับใบอนุญาตและสามารถบริหารคลื่นความถี่ได้เอง ดังนั้นการที่จะมีการเขียนร่างรัฐธรรมนูญให้ “คลื่นความถี่เป็นของรัฐ“ จะเป็นการถอยหลังกลับไปสู่ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 และจะทำให้กลับไปสู่แบบเดิม คือ รัฐยึดถือคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมดเหมือนในอดีตหรือไม่”
เช่นเดียวกับ “มานิจ สุขสมจิตร” กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และสื่อมวลชน บอกว่า ตอนที่ยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้แยกคลื่นความถี่ออกมาอยู่ในหมวด “สิทธิเสรีภาพของประชาชน” ก็เพื่อคุ้มครองสื่อให้มีความเป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็น ในการพูด ในการเขียน แต่การที่ให้ “คลื่นความถี่” กลับไปอยู่ในหมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” ซึ่งเป็นแค่กรอบให้รัฐออกนโยบายปฏิบัติ แต่รัฐจะทำเมื่อไหร่ แค่ไหน อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ผมยังไม่เห็นร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องคลื่นความถี่ แต่หากเป็นไปตามข่าวที่ว่าจะใช้คำว่า “คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของรัฐ” ก็ต้องรอดูว่าจะตีความคำว่า “รัฐ” ว่าอย่างไร หาก “รัฐ” หมายถึง “state” หรือ “country” หรือประเทศ ก็พอรับได้ แต่หากตีความว่า “รัฐ” หมายถึง “government” หรือ “รัฐบาล” ซึ่งทำให้สื่อของรัฐยึดถือครองคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่กลับไปเหมือนในอดีต”
ขณะที่ “สุภิญญา กลางณรงค์” กรรมการ กสทช. ได้ทวิตแสดงความเห็นว่า การจะแก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนตัวบท “คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” เราจะย้อนเวลากลับกันทุกเรื่องหรืออย่างไร
“อย่าแก้หลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเรื่องคลื่นความถี่ จนเมื่อดิฉันหมดวาระจาก กสทช.แล้ว ต้องไปเริ่มทำงานรณรงค์ปฏิรูปนับหนึ่งใหม่อีก..ตลก กว่าจะมีกฎหมาย กสทช.กับการปฏิรูปคลื่นความถี่ ก็ใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษ แก้เฉพาะจุดที่จำเป็น ไม่ใช่ย้อนยุค สังคมไทยเคยผ่านการถกเถียงอย่างตกผลึกมาแล้วช่วงปี 2540 ว่า ”คลื่นความถี่“ ควรเป็นของใคร ในตัวบทรัฐธรรมนูญจะไป “เปิดขวดแม่นาค” อีกทำไม ปัญหาคือไม่ใช่กลับไปถกเถียงว่าคลื่นความถี่ควรเป็นของใครในตัวบทรัฐธรรมนูญ แต่คือการผลักดันให้ กสทช.ทำให้เป็นจริงตามเจตนารมณ์เดิมมากกว่า”
พร้อมตบท้ายว่า “ร่างรัฐธรรมนูญกันหลายรอบในชีวิตนี้ขอสักเรื่องละคร “คลื่นความถี่นี้เป็นของใคร” คงไม่ต้องฉายซ้ำเป็น “มหากาพย์” กันอีก”
ต้องรอดูกันต่อไปว่า บทสรุปในเรื่องนี้ี่จะเป็นอย่างไร.. “คลื่นความถี่” ยังจะเป็นสมบัติของชาติ ของประชาชน หรือถูกรัฐฮุบไปจนหมดสิ้น
—————–
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ‘รัฐฮุบสื่อ’ ?…ผ่านร่าง รธน. : โดย…โอภาส บุญล้อม)
