วันที่ 17 มกราคม 2559 นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการเมือง กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดให้มี ส.ว. 200 คน มาจาก 20 กลุ่มอาชีพ โดยเลือกกันแบบไขว้ และกำหนดอำนาจหน้าที่ใหม่ว่า โดยภาพรวมของที่มา ส.ว.ดี แต่วิธีการเลือกกันเองแบบไขว้น่าจะเป็นปัญหาและอาจจะทำให้ไม่สามารถคัดกรองคนดี  มีความรู้  ความสามารถมาเป็น ส.ว.ได้  เพราะวิธีการแบบนี้จะทำให้เกิดการบล็อกโหวต แลกคะแนนกันเอง และอาจจะทำให้เกิดการใช้เงินซื้อคะแนนกันได้ ดังที่เคยปรากฏมาแล้วในบางองค์กร ซึ่งที่สุดแล้วก็ทำจะทำให้ไม่ได้คนดี ดังนั้น กรธ.จึงไม่ควรจะมากำหนดวิธีการแบบนี้ เพราะเป็นสิ่งชำรุดในอดีตที่ไม่ควรจะมีในรัฐธรรมนูญ และการจะทำให้การได้มาซึ่ง ส.ว. เป็นไปในลักษณะล้มเหลวอย่างที่เคยเป็นมา วิธีที่ดีควรนำเอาวิธีการสรรหาที่เคยทำมาแล้วกลับมาพิจารณาดูว่ามีจุดอ่อน จุดบกพร่องตรงไหนแล้วแก้ไขที่จุดนั้น

          นายวันชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมามามีปัญหาในเรื่องของคณะกรรมการสรรหาว่าจำนวนน้อยไป ไม่หลากหลาย ไม่โปร่งใส ก็ควรแก้ให้กรรมการสรรหามีจำนวนมากและหลากหลายขึ้น และวิธีการจะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ เท่านี้ก็จะแก้ปัญหาที่มาของ ส.ว. อย่างที่สังคมต้องการและสร้างความก้าวหน้าขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลัง ที่สำคัญการเลือกตั้งจะสุจริตเที่ยงธรรมได้จะต้องอยู่ที่ 3 ส่วน คือ

          1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 2.ข้าราชการทุกระดับที่สนับสนุนการเลือกตั้ง และ 3. ภาคประชาชนที่จะต้องมีส่วนช่วยส่งเสริม สนับสนุน และควบคุมกำกับดูแลการเลือกตั้ง ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะต้องไปด้วยกัน ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ กรธ.จะต้องวางกลไกให้มีผลและเป็นความหวังของการเมือง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หากทำไม่ได้ กลไกไม่มีก็จะล้มเหลว การเมืองก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม ซึ่ง กมธ.ขับเคลื่อนด้านการเมืองจะติดตามในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะถือว่าเป็นการปฏิรูปทางการเมืองที่สำคัญ

          นายวันชัย กล่าวต่อว่า แม้ว่าทุกส่วนทุกองค์กรรวมทั้งรัฐธรรมนูญและกลไกต่างๆ ได้วางไว้เพื่อการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าไม่มีการปฎิบัติจริง เราก็จะไม่มีทางรู้ว่าเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งแล้วการเลือกตั้ง จะสุจริตเที่ยงธรรมจริงหรือไม่ ดังนั้นก่อนเลือกตั้ง ส.ส.ควรจะมีการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล เพื่อเป็นการซักซ้อมการเลือกตั้งว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อมีการทดลองจริงและมีกฎหมายจริง เชื่อว่าหากถึงวันที่มีการเลือกตั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง