ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (จบ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160205/221856.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559
ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (จบ)

ทบทวนความสัมพันธ์ซาอุฯ-อิหร่าน (จบ) : วิถีมุสลิมโลก โดยศราวุฒิ อารีย์

           การที่สหรัฐใช้กำลังโค่นอำนาจซัดดัมแห่งอิรักเมื่อปี 2003 เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสงครามอิรักทำให้ดุลอำนาจในอ่าวเปอร์เซียที่เป็นแบบ “สามเหลี่ยม” หมดไป เพราะอำนาจที่เคยคานกันระหว่างซาอุดีอาระเบีย อิรัก และอิหร่าน มาบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างที่เป็นการแข่งขันกันแบบสองขั้ว (bipolar) คืออิหร่านกับซาอุดีอาระเบียโดยตรง

ขณะเดียวกัน การโค่นล้มซัดดัม ซึ่งเป็นศัตรูของอิหร่าน ก็ทำให้อำนาจการปกครองอิรักจากที่เคยอยู่ในมือของนักชาตินิยมอาหรับอย่างพรรคบาอัธของซัดดัมก็เปลี่ยนเป็นอำนาจของฝ่ายชีอะห์ ซึ่งได้รับเลือกตั้งให้เป็นรัฐบาลใหม่ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ในอิรักกว่าร้อยละ 60 เป็นชีอะห์ ส่งผลให้อิหร่านมีเครื่องมือเชื่อมต่อความสัมพันธ์และเข้าไปมีอิทธิพลบทบาทในอิรักได้ง่าย

เท่านั้นยังไม่พอ บทบาทของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ยังปรากฏเด่นชัดขึ้นในการเมืองเลบานอนจากการช่วยเหลือของซีเรีย (ทั้งเฮซบอลเลาะห์และซีเรียต่างเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอิหร่าน) ทำให้อิทธิพลของอิหร่านแพร่ขยายอย่างเด่นชัดในระยะหลัง ในทางตรงข้าม บทบาทของซาอุดีอาระเบียในการเมืองตะวันออกกลางกลับลดน้อยถอยลง

ด้วยเหตุนี้ สภาวะแห่งการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจทั้งสองจึงเริ่มเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกันในสมรภูมิอิรักหลังยุคซัดดัม ไม่ว่าจะเป็นสงคราม 33 วันในเลบานอนระหว่าง

เฮซบอลเลาะห์กับอิสราเอล (ปี 2006) ตลอดจนการบุกโจมตีกาซาโดยกองกำลังอิสราเอลเป็นเวลา 22 วันถล่มกลุ่มฮามาส (ปี 2008-2009)

ปัจจัยอีกประการที่นำไปสู่การแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันคือ ความก้าวหน้าของอิหร่านในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ซาอุดีอาระเบียเชื่อว่าเรื่องนี้ทำให้อิหร่านมีสถานะที่เหนือกว่าตนในภูมิภาค ซึ่งในทางกลับกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังไร้ศักยภาพของซาอุดีอาระเบียที่ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวได้

การขับเคี่ยวแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งหลังผู้นำเผด็จการในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย และเยเมน ถูกโค่นอำนาจโดยกองทัพประชาชนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน อีกทั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ยังได้ลุกลามไปประเทศอื่นๆ ทั่วภูมิภาค รวมถึงในซาอุดีอาระเบียเองด้วย การล้มลงของเผด็จการในหลายประเทศในเวลาที่รวดเร็วเป็นปรากฏการณ์ที่คล้ายกับตอนที่สหรัฐบุกโค่นล้มระบอบซัดดัมในอิรักในแง่ที่ว่า มันเกิดการปรับดุลอำนาจครั้งใหม่ในตะวันออกกลางและเกิดสุญญากาศทางอำนาจในหลายประเทศ

สำหรับซาอุดีอาระเบีย กระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อราชวงศ์ซาอูด เพราะเป็นกระแสที่กำลังคืบคลานเข้ามาและบ่อนเซาะการปกครองในระบอบอำนาจนิยมของซาอุดีอาระเบีย ฉะนั้นการรับมือกับกระแสที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการหาวิธีหยุดยั้งกระแสอาหรับสปริง จึงเป็นเป้าหมายหลักที่ซาอุดีอาระเบียต้องรีบดำเนินการ

แต่สำหรับอิหร่านแล้ว กระแสอาหรับสปริงถือเป็นโอกาสที่จะสร้างพันธมิตรใหม่ในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกับตัวแสดงใหม่ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่เป็นฝ่ายนิยมแนวทางศาสนา ขณะเดียวกันอิหร่านก็พยายามรักษาอำนาจของพันธมิตรอย่างซีเรียเอาไว้

ลักษณะเช่นนี้จึงเท่ากับเป็นการสร้างสมรภูมิแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านอีกครั้ง ซึ่งทำให้อุณหภูมิการเมืองในตะวันออกกลางร้อนแรงยิ่งขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้จะเป็นไปอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อเอเชียและโลกมากน้อยแค่ไหนนับจากนี้ต่อไป คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับ

Leave a comment